สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ปรัชญาแห่งความพอเพียง - ศ.ระพี สาคริก

ปรัชญาแห่งความพอเพียง
โดย ศ.ระพี สาคริก 19 สิงหาคม 2549

ที่มา : มติชนรายวัน



    ขณะนี้ ในแต่ละวันเราจะได้ยินการพูดถึงความพอเพียงกันอย่างกว้างขวาง โดยธรรมชาติแล้ว การพูดด้วยความศรัทธาออกมาจากใจจริงก็เป็นส่วนหนึ่ง นอกจากนั้น การพูดไปตามกระแสสังคมก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง บางคนไม่รู้จักคำว่าพอเพียง แต่ได้ยินเขาพูดก็เอามาพูดบ้าง สิ่งเหล่านี้แหละ ควรถือได้ว่ามันเป็นธรรมชาติของคนที่อยู่ร่วมกัน

ดังนั้น เมื่อพูดถึงความพอเพียง เราควรเข้าใจธรรมชาติที่อยู่ในจิตใจคน และใช้เป็นพื้นฐานการปฏิบัติ เพื่อความเข้าใจเรื่องราวของความพอเพียงได้อย่างลึกซึ้ง ขณะนี้ มีองค์กรต่างๆ มักเชิญฉันไปพูดเรื่อง ความพอเพียงบ่อยๆ บางครั้งก็พูดเรื่องเกษตรพอเพียง บางครั้งก็พูดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง หลังจากฉันถูกขอร้องให้พูดในที่ต่างๆ มันอดไม่ได้ที่จะเข้าใจถึงความจริงของแต่ละคน ใครจะเข้าใจอย่างไรก็ตาม แต่ตัวฉันเองควรจะทำความเข้าใจอย่างดีที่สุด แม้มันจะออกมายังไง สิ่งนั้นก็คือ ความรู้ความสามารถของตัวเอง ซึ่งมีอยู่เพียงแค่นั้น ถ้าใครจะคิดว่า ฉันเป็นคนรู้จริงหรือไม่จริงอย่างไร มันมีเหตุผลที่จะอธิบายได้ว่า เพราะคุณเป็นผู้เชิญฉันมาพูด แค่นั้นเป็นพอ

ฉันนึกถึงพุทธประวัติเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับชีวิตพระพุทธองค์ กับองคคุลิมาล ซึ่งมีความตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า องคุลิมาลตามล่าฆ่าคนเพื่อตัดนิ้วให้ได้ 1,000 นิ้ว ขณะนั้นตัดไปได้ 999 นิ้วแล้ว ยังเหลืออีก นิ้วเดียวก็จะครบ 1 พัน หลังจากเห็นพระพุทธองค์ทรงดำเนินอยู่ องคุลิมาลจึงตะโกนให้หยุด

ขณะนั้นพระพุทธองค์ยังทรงพระดำเนินเป็นปกติ หลังจากได้ยินองคุลิมาลร้องให้หยุดแล้ว จึงทรงตรัสตอบไปว่า เราหยุดแล้ว แต่ท่านสิยังไม่หยุด คำตอบดังกล่าวเป็นเรื่องน่าคิด ถ้าบุคคลใดยังมีความโลภ หลังจากรับฟังก็คงยากที่จะเข้าใจได้ถึง ฉันเคยเขียนบทความโดยมีสัจธรรมดังกล่าวแฝงอยู่ในนั้นหลายเรื่อง อาทิ การใช้อำนาจโดยไม่ต้องใช้ ย่อมมีผลสร้างสรรค์สู่การบริหารงาน เรื่องนี้ถ้าจะกล่าวว่า ปัญหาต่างๆ ที่รู้สึกได้ มันเกิดจากเงื่อนไขที่อยู่ในใจตนเองทั้งสิ้น สิ่งที่กล่าวมาแล้วเป็นเพียงตัวอย่าง ยังมีอีกหลายเรื่อง ถ้าบุคคลใดมองเห็นความจริงจากใจตนเองได้แล้ว ย่อมเข้าใจสิ่งที่กล่าวมาแล้วได้ทั้งหมดด้วยเช่นกัน

ทุกสิ่งทุกอย่างควรมีธรรมชาติเป็นพื้นฐาน และมีการบริหารและจัดการเพื่อนำไปสู่การใช้ประโยชน์อย่างสร้างสรรค์ กระบวนการดังกล่าว ถ้าพิจารณาที่คุณภาพของคน ผู้ที่จะเจริญเติบโตก้าวไปสู่การบริหารและการจัดการอย่างเหมาะสมกับหน้าที่ ควรเป็นผู้ที่หยั่งรู้ความจริงได้ถึงรากเหง้า อีกทั้งยังสามารถแยกแยะ เพื่อรู้ได้ว่าสิ่งใดเป็นเรื่องของเรา สิ่งใดเป็นเรื่องของเขา

ทุกวันนี้ เราจะได้พบความจริงว่า คนส่วนใหญ่มีการแย่งชิงกันเข้าไปสู่ตำแหน่ง อีกทั้งต้องการเป็นผู้จัดการเสียเอง ซึ่งแท้จริงแล้วอาจกล่าวได้ว่าการเจริญเติบโตของคน แทนที่จะถือรากฐานตนเองให้มั่นคงอยู่ได้ กลับกลายเป็นคนที่มีความโลภและความอยาก เพื่อที่จะก้าวขึ้นไปสู่การมีอำนาจเหนือผู้อื่น อีกทั้งความใหญ่โตและมีหน้ามีตา แทนที่จะคิดถึงเพื่อนมนุษย์ ซึ่งอยู่ร่วมกัน อันควรอ่อนน้อมถ่อมตน

แม้แต่ในด้านการศึกษา แต่ก่อนปากก็เคยพูดว่า การเอาตำแหน่งทางวิชาการมามอบให้ เพื่อจะได้ไม่ต้องมาแข่งขัน โดยหวังตำแหน่งบริหาร แต่ตามความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม แม้จะมีการตั้งตำแหน่งทางวิชาการเพื่อมอบให้ทุกคนที่มีผลงานในด้านวิชาการ แต่ก็ไม่วายที่จะมีนักวิชาการคิดแย่งชิงตำแหน่งบริหาร จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต ส่งผลกระทบคุณภาพในการบริหารงานของสถาบันการศึกษา จนกระทั่งตกอยู่ในสภาพคาราคาซังอย่างไม่อาจทำอะไรได้

ความจริงแล้ว แม้การใช้ระบบที่เปิดโอกาสให้บุคคลเข้าสู่ตำแหน่ง ซึ่งขณะนี้มีการหาเสียงหรืออีกนัยหนึ่งก็เท่ากับการเปิดโอกาสให้คนโฆษณาตัวเอง ซึ่งวิธีการเช่นนี้คนไทยในอดีตถือว่าเป็นการเสียมารยาทอย่างยิ่ง อันที่จริง ผู้เขียนได้ประสบมากับตัวเอง แม้มีการขอตำแหน่งวิชาการให้ ก็ยังมาขอร้องให้เราเขียนผลงานของตัวเอง แม้แต่การเชิญไปพูดที่ไหน ก็มักมาขอให้เราเขียนแนะนำตัวเองว่า มีผลงานอะไรต่อมิอะไร

ผู้เขียนไม่เหมือนคนอื่น โดยที่เห็นว่าการเขียนผลงานของตัวเอง และการโฆษณาตัวเอง เป็นสิ่งผิดมารยาท ตนจึงไม่เคยยอมทำให้ หลังจากถูกเซ้าซี้หนักเข้า อย่างดีก็ตอบไปว่า คุณเชิญผมมา คุณควรจะรู้เองว่า ผมเป็นใคร และมีผลงานอย่างไร ถ้าคุณรู้ได้แค่ไหน ก็เขียนลงไปตามที่รู้ ซึ่งผมจะไม่ติดใจอะไรเลย อย่างนี้เป็นต้น

อนึ่ง การใช้ระบบเลือกตั้ง โดยใช้เจ้าตัวยื่นความจำนงสมัครเสียก่อน ผู้เขียนก็ไม่เคยยอมทำ แทนที่จะหลงอยู่กับคำพูดหรือตัวหนังสือ กลับนำมาพิจารณาค้นหาความจริง หลังจากนั้นจึงทราบว่า การจะสรรหาใครเข้ามาสู่ตำแหน่ง ไม่ควรให้เขาเข้ามาสมัคร แต่เปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปพิจารณาเลือกเสียก่อน หลังจากเลือกแล้วจึงค่อยไปทาบทามภายหลัง โดยไม่ต้องไปขอผลงานจากเจ้าตัว การที่ผู้เขียนเข้าสู่ตำแหน่งบริหาร แม้จะผ่านการเลือกตั้ง แต่ประชากรส่วนใหญ่ได้แสดงผลการเลือกตั้งเสร็จแล้ว จึงมาทาบทาม ผู้เขียนพิจารณาแล้วเห็นว่าควรรับหรือไม่รับ แต่ที่ได้นำปฏิบัติมาแล้ว กลับย้อนถามไปว่า เหตุใดพวกคุณจึงมาเลือกผม ถ้าตอบอย่างไม่มีเหตุผล ผมก็คงรับตำแหน่งไม่ได้

ช่วงนั้น มีกฎระเบียบอยู่หลายข้อว่า ผู้บริหารจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หลังจาก ผู้เขียนย้อนถามกลับไปแล้ว จึงได้รับคำตอบกลับไปว่า เพราะท่านอาจารย์สามารถพูดกับคนได้ทุกกลุ่ม ตนจึงตอบไปว่า กฎระเบียบต่างๆ มันไม่ใช่ของจริง แต่คำตอบที่กล่าวมาแล้วนั่นแหละ คือสิ่งที่คนในสังคมต้องการ

การได้มาซึ่งผู้นำทุกวันนี้ เป็นเพราะเราตามก้นคนต่างชาติมากกว่า การใช้ปัญหา ซึ่งอยู่ในพื้นฐานของเราเองเป็นที่ตั้ง จึงทำให้ความหวังที่จะได้คนดี มีความรู้ความสามารถ อีกทั้งยังมีความตั้งใจที่บริสุทธิ์ นับว่าเป็นของยากมากกว่าการปฏิบัติที่เห็นได้ในยุคปัจจุบัน สิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด นับได้ว่าเป็นประสบการณ์ชีวิต ซึ่งได้นำปฏิบัติมาแล้ว และสิ่งที่เขียนเอาไว้นี้ ตัวฉันก็เขียนออกมาจากใจ แทนที่จะลอกมาจากตำราหรืออื่นใดก็ตาม

สรุปแล้ว ถ้ารู้จักพอ ก็ไม่ควรที่จะโลภโมโทสันอยากได้ตำแหน่งและเครื่องประดับต่างๆ ให้มันมากเกินเหตุและผล นอกจากหวนกลับมาพิจารณาตัวเอง และตั้งคำถามอยู่เสมอว่า ตนได้ทำสิ่งใดให้เกิดประโยชน์แก่แผ่นดินเอาไว้บ้าง

สิ่งซึ่งได้รับกลับมาเป็นขวัญและกำลังใจ ทำให้คิดสร้างงาน ที่มีคุณค่าได้อย่างต่อเนื่อง แม้ไม่มีตำแหน่งและได้รับอามิสสิ่งใดกลับมาสนองประโยชน์ตนเองแล้วก็ตาม อย่างน้อยก็สำนึกอยู่เสมอว่า ตนทำงานให้แผ่นดินอย่างมีความสุข อีกทั้ง ยังได้รับการยกย่องจากคนทั่วไปว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถให้คนนับหน้าถือตาและยอมรับอย่างกว้างขวาง

ปรัชญาของการรู้จักพอ ควรเริ่มต้นมาตั้งแต่การเริ่มทำงาน แม้จะมีสภาพเป็นเพียงตัวเล็กๆ ควรถือว่า ระดับนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นช่วงที่ปูพื้นฐานเอาไว้ให้มั่นคงแน่นหนา ยิ่งกว่าการขึ้นไปทำงานอยู่ในระดับสูงเหนือผู้อื่นแล้ว แต่คนทั่วไปมักมีความรู้สึกว่า การขึ้นไปอยู่ในระดับสูงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งมันกลับหัวกลับหางกันกับความจริงที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด

ความจริงแล้ว การรู้จักพอ ควรเริ่มต้นมาตั้งแต่ ยังทำงานอยู่ในระดับล่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำงานในระดับพื้นดิน โดยหยั่งรู้คุณค่าแก่สถานภาพดังกล่าว แม้จะก้าวขึ้นไปสู่ด้านบน แต่ก็ยังตระหนักได้ถึงความสำคัญของการทำงานอยู่ในระดับล่าง โดยที่ฝังลึกอยู่ภายใต้จิตสำนึกของตัวเองอย่างแน่นหนา ย่อมช่วยให้บุคคลลักษณะนี้ เป็นผู้มีนิสัยเสมอต้นเสมอปลายกับทุกคนอย่างเป็นธรรมชาติ


ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

* *

 

*

view