ข้อเท็จจริง
โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินเลขที่ 2347 ตำบลสะพานสูง อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร โจทก์ใช้ที่ดินแปลง ดังกล่าวในการประกอบกิจการทำสำนักงานและโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์จำหน่าย ต่อมา มีพระราชกฤษฎีกากำหนด เขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนเพื่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลขที่ 37 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพ มหานครตอนแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลขที่ 34 (บางพลี) – บรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 (วังน้อย) พ.ศ. 2536 ที่ดินของโจทก์อยู่ในเขตที่จะเวนคืน คิดเป็นเนื้อที่ 7 ไร่ 2 งาน 78 ตารางวา กรมทางหลวง ได้จ่ายเงินค่าทดแทนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์รวม 3 ครั้ง เป็นเงินจำนวน 194,564,902.49 บาท โจทก์มิได้นำรายรับดังกล่าวไปยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
•เจ้าพนักงานประเมินมีหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะเลขที่ 02010450/6/100012 เลขที่ 02010450/6/100013 และเลขที่ 02010450/6/100014 ลงวันที่ 21 มิถุนายน 2543 ทั้งสามฉบับ ให้โจทก์ เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และภาษีบำรุงเทศบาลรวมเป็นเงินจำนวน 23,707,531 บาท
•โจทก์อุทธรณ์การประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ สภ.2 (อธ.3.3) /17.1/8/44 เลขที่ สภ.2 (อธ.3.3) /17.2/8/44 และเลขที่ สภ.2 (อธ.3.3) /17.3/8/44 ลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2543 ทั้งสามฉบับ ยืนตามการประเมิน แต่ให้ลดภาษีและงด เบี้ยปรับ คงเรียกเก็บรวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 10,866,249.29 บาท
•โจทก์อุทธรณ์โดยฟ้องกรมสรรพากรเป็นจำเลยต่อศาลภาษีอากรกลางศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้วพิพากษา ยกฟ้อง
•โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร
ปัญหาข้อกฎหมาย
การขายที่ดินเนื่องจากถูกทางราชการเวนคืนต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะหรือไม่?
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า มาตรา 91/1(4) แห่งประมวลรัษฎากร ให้คำนิยามคำว่า ขาย ว่า หมายความ รวมถึงสัญญาจะขาย ขายฝาก แลกเปลี่ยน ให้เช่าซื้อ หรือจำหน่าย จ่าย โอน ไม่ว่าจะมีประโยชน์ตอบแทนหรือไม่ ตามบทนิยามดังกล่าวเห็นได้ว่า แม้ที่ดินของโจทก์อยู่ในเขตที่จะเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในบริเวณที่ที่จะเวนคืนเพื่อสร้าง ทางหลวงพิเศษหมายเลข 37 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ตอนแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลขที่ 34 (บางพลี) – บรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 (วังน้อย) พ.ศ. 2536 และการที่โจทก์โอนที่ดินดังกล่าวให้แก่กรมทางหลวงเป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหา- ริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ก็ตาม ก็ยังเป็นการโอน จึงเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 91/1(4) ส่วนปัญหาว่าการขายอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ดังกล่าวจะถือเป็นการประกอบกิจการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษี ธุรกิจเฉพาะหรือไม่นั้น เห็นว่าแม้ประมวล-รัษฎากร มาตรา 91/2 บัญญัติว่า ภายใต้บังคับมาตรา 91/4 การ ประกอบกิจการดังต่อไปนี้ในราชอาณาจักรให้อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามบทบัญญัติในหมวดนี้....(6) การขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรไม่ว่าอสังหาริมทรัพย์นั้นจะได้มาโดยวิธีใดก็ตาม ทั้งนี้ เฉพาะที่ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และ เงื่อนไขตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาและพระราชกฤษฎีกาออกตาม ความในประมวล-รัษฎากรว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 244) พ.ศ. 2534 ออกโดยอาศัยบทบัญญัติดังกล่าวและใช้บังคับขณะนั้น มาตรา 3 บัญญัติว่า ให้การขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็น ทางค้าหรือหากำไรตามมาตรา 91/2(6) แห่งประมวลรัษฎากร มีดังต่อไปนี้ ....(5) การขายอสังหาริมทรัพย์ ที่ผู้ขายมีไว้ในการประกอบกิจการแต่ไม่รวมถึงที่ดินที่ผู้นั้นใช้ในการเกษตรกรรม ก็ตาม แต่เป็นที่เห็นได้ชัดว่า ทรัพย์ดังกล่าวโจทก์จำเป็นต้องมีไว้ใช้ในการประกอบกิจการ เพราะต้องใช้เป็นสำนักงานและโรงงานผลิต เฟอร์นิเจอร์จำหน่ายไม่ใช่ไว้เพื่อขายประกอบกับการที่โจทก์ต้อง โอนทรัพย์ก็เนื่องจากการถูกเวนคืนไม่ใช่การ โอน โดยเจตนาหรือเพื่อประโยชน์ในกิจการของโจทก์ กรณีของโจทก์เช่นนี้จึงไม่เป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ ที่เป็นทางค้า หรือหากำไรที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/2(6) แห่งประมวล-รัษฎากร การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ชอบ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะเลขที่ 02010450/6/100012 เลขที่ 02010450/6/100013 และเลขที่ 02010450/6/100014 ลงวันที่ 21 มิถุนายน 2543 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่ สภ.2 (อธ.3.3) /17.1/8/44 เลขที่ สภ.2 (อธ.3.3) /17.2/8/44 และเลขที่ สภ.2 (อธ.3.3) /17.3/8/44 ลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2543 ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 5,000 บาท