วิธีการเลือกสำนักงานบัญชี
ฺB.A.(accounting),H.D.(Auditing)
M.S.(Accounting),CPA_Thailand
1.ให้ดูค่าบริการก่อนเลยครับถ้าถูกมักไม่ดี
ของถูกแล้วดีไม่มีในโลก (ประเภทค่าทำบัญชีเดือนละพันสองพัน ลืมไปได้เลยว่าคุณจะได้ของดี และถ้าคุณมีทรรศนะอย่างนี้อยู่ในตัว แนะนำว่าอย่าเสียเวลาอ่านต่อเพราะบทความต่อไปนี้จะไม่มีประโยชน์อะไรกับคุณเลย)
ค่าบริการบัญชีของสำนักงานบัญชีที่ทำงานเหมือนกับแผนกบัญชีของคุณมักจะมีค่าใช้จ่ายสูงพอสมควร ยกเว้นกรณีที่ผู้รับงานจะมีงานประจำอยู่แล้วและเป็นการรับงานเป็นจ๊อบพิเศษเพราะรายจ่ายบริหารน้อย แต่ก็ถูกกว่ากันไม่มาก แต่จะติดขัดที่ความหยืดหยุ่นในเรื่องคนช่วยและประสบการณ์ แต่ไม่ได้หมายความไม่ควรใช้เพราะงานที่ได้ไม่ต่างกันและอาจดีกว่าสำนักงานบัญชีบางแห่งที่รับงานมากไป เนื่องจากจะรับงานไม่มากจะดูแลลูกค้าได้ใกล้ชิด แต่คงต้องดูว่าคนที่รับทำงานตำแหน่งอะไร บริษัทใหญ่หรือเปล่า เพราะการทำงานในบริษัทที่ใหญ่เกินไปจะไม่ได้ทำงานทุกด้านและระบบการทำงานจะซับซ้อนทำให้งานบัญชีที่ไม่ใหญ่เกินไปดูวุ่นวายไปหมดอาจทำให้เรายุ่งไปด้วย และในเรื่องภาษีอากรของกิจการที่ไม่เหมือนกับที่ทำมาอาจมีปัญหาเรื่องการปฎิบัติให้ถูกต้อง อีกทั้งการเข้าพบเจ้าหน้าที่สรรพากรแต่ละแห่งจะมีวิธีการทำงานและวิธีตรวจที่ไม่เหมือนกัน สำนักงานบัญชีมักจะรู้ว่าเขตไหนทำงานอย่างไร
การพิจารณาเรื่องราคาจึงต้องให้ดูราคาที่เหมาะสม เพราะงานบัญชีที่ดีพนักงานบัญชีหนึ่งคนจะรับงานได้ไม่มาก ถ้าเป็นบริษัทใหญ่จะรับงานได้แค่บริษัทเดียวหรืออาจต้องใช้มากกว่าหนึ่งคนถ้าเป็นบริษัทใหญ่มากไป (ถ้ายอดขายเกินกว่า 1-2 ร้อยล้านต่อปี สำนักงานบัญชีบางแห่งจะไม่รับงานเพราะบริษัทสร้างแผนกบัญชีเองคุ้มกว่า ถ้าเป็นลูกค้าสำนักงานเดิม สำนักงานบัญชีนั้นๆมักจะสร้างแผนกบัญชีและฝึกคนให้กับลูกค้าและเปลี่ยนสถานะเป็นที่ปรึกษาที่การทำงานคล้ายสมุห์บัญชีหรือผู้จัดการแทน เพราะ
1.เพื่อให้ลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่าย
2.ลดปัญหากับการหาคนมาดูแลและการเปลี่ยนงานของพนักงาน
3.สำนักงานบัญชีจะทำการตรวจสอบเหมือนกับเป็นสมุห์บัญชีไปในตัวให้ด้วย
4.เมื่อคุณมีปัญหาเรื่องคน สำนักงานที่มีการจัดการที่ดีจะสามารถที่จะเป็นกำลังสำรองให้คุณได้
2.ราคาที่เหมาะสมควรเป็นเท่าไหร่
ราคาที่เหมาะสมควรจะไม่ต่างจากที่เราจะต้องจ้างพนักงานบัญชี 1 คน หรือแตกต่างกันไม่มาก ไม่ควรจะมากกว่า 1/2 ของเงินเดือนพนักงานบัญชีตามปกติ การที่ให้ประเมินเช่นนั้นเนื่องจากการที่เราจ้างพนักงานบัญชีหนึ่งคนเราจะได้พนักงานที่ทำงานด้านการบันทึกบัญชีหรือการปิดบัญชี แต่เราจะไม่สามารถใช้งานจากบัญชีที่ทำขึ้นนอกจากใช้ส่งหน่วยงานราชการเท่านั้น และหากเราจ้างพนักงานบัญชีคนเดียวผิดถูกอย่างไรไม่มีการตรวจสอบและเจ้าของกิจการส่วนใหญ่จะไม่สามารถทำการตรวจสอบในส่วนนี้ได้ อีกทั้งการใช้สำนักงานบัญชีเท่ากับเราจ้างบัญชีหนึ่งแผนก ที่มีทั้งพนักงานบัญชีและสมุห์บัญชีด้วย เพียงแต่เราไปเฉลี่ยเงินเดือนสมุห์บัญชีกับบริษัทอื่นทำให้จ่ายน้อยลง
ลองสอบถามดูว่าค่าบริการที่คิดรายเดือนมีค่าค่าใช้จ่ายอย่างอื่นอีกหรือไม่ บางแห่งคิดค่าทำบัญชีรายเดือนถูกแต่คิดค่าปิดงบแพงมาก บางแห่งมีการเก็บค่าสมุดบัญชี ค่าแบบ ค่าใบสำคัญ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกจิปาถะ บางครั้งคำนวณรายเดือนออกมาแล้วมากกว่าสำนักงานที่คิดค่าบริการแบบ LUMSUM อีก และลองถามดูเลยว่าค่าบริการหรือค่าอื่นๆอีกจิปาถะคุณได้ใบเสร็จหรือไม่ เพราะใบเสร็จจะนำไปหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีได้ ถ้าไม่ออกใบเสร็จให้ให้เข้าใจว่าคุณต้องจ่ายค่าบริการเท่ากับ 1.3 เท่าเพราะคุณต้องรับผิดชอบค่าภาษีอีก 30% ของค่าบริการ และไม่ต้องกังวลเรื่องภาษีหัก ณ.ที่จ่ายที่ สำนักงานบัญชีมักอ้างว่าเราต้องจ่ายเพิ่ม เพราะมันสามารถนำมาหักจากเงินภาษีที่เราต้องนำส่งภาษีเงินได้ประจำปีได้
เราควรจะมีการขอคุยเมื่อมีการนำงบการเงินไปให้เซ็นต์ปลายปีหนึ่งครั้งเป็นอย่างน้อยถึงสถานะบริษัทเราเหมือนกับที่บริษัททั่วไปได้สรุปจากผู้จัดการบัญชีทุกเดือน (เจ้าของกิจการควรจะใช้งานสำนักงานเช่นเดียวกับฝ่ายบัญชี ไม่ใช่การโยนไปให้ทำโดยที่ไม่ดูอะไร เนื่องจากเจ้าของกิจการไม่มีข้อโต้แย้งใดๆเกี่ยวกับการดำเนินกิจการและความรับผิดชอบ การอ้างต่อหน่วยงานราชการมักฟังไม่ขึ้นในกรณีที่เกิดปัญหา)
3.หากเป็นไปได้และเราจะต้องเปิดบริษัทใหม่ให้ติดต่อสำนักงานบัญชีเพื่อทำการจัดตั้งบริษัทให้เลย
เพราะปัจจุบัน ทางราชการได้อนุมัติให้ผู้สอบบัญชีเป็นผู้ลงนามเป็นพยานในการจดทะเบียนจากเดิมที่เป็นสมาชิกเนติบัณฑิตสภาเท่านั้นได้แล้ว เข้าใจว่าสาเหตุใหญ่ประการหนึ่งคือ เนื่องจากการจดทะเบียนที่ผ่านมาโดยไม่ใช่ผู้ที่จัดทำบัญชีมักมีปัญหาในการจัดทำบัญชีเกี่ยวกับการบันทึกทุนจดทะเบียน กับบัญชีเงินสด/เงินฝากธนาคาร มักจะทำให้เกิดปัญหาของการบันทึกลูกหนี้เงินยืมกรรมการเสมอๆ และไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในการดำเนินธุรกิจ
4.ลองสอบถามถึงวิธีการทำงานของสำนักงานว่าเป็นอย่างไรถูกตรงตามที่เราต้องการหรือเปล่า
ถ้าเป็นไปได้ขอดูงานเลยครับว่าเป็นอย่างไร
ถ้ามีโอกาสลองตรวจเช็คระบบงานภายในสำนักงานบัญชี ลองสอบถามดูว่า ถ้าเราจะสอบถามพนักงานที่มอบหมายให้ดูแลงานเราว่ารู้เรื่องแค่ไหน ลองให้หาเอกสารดูบ้างว่าจัดเก็บเอกสารเราเป็นอย่างไร ได้หรือไม่ เพราะสำนักงานที่ระบบดีมีพนักงานประจำ เมื่อได้เอกสารมาจะดำเนินการจัดทำการตรวจสอบและบันทึกบัญชีเบื้องต้นให้เราทันที นั่นหมายถึงจะต้องมีระบบการจัดเก็บเอกสารไว้เรียบร้อยแล้ว การหาจึงใช้เวลาไม่นาน แต่หากเป็นสำนักงานที่ทำงานปีละครั้งจะหาเอกสารช้ามาก แต่หากเป็นการมารับเอกสารจากบริษัทปีละครั้งก็มั่นใจได้ว่าไม่มีคุณภาพพอ การสอบถามการทำงานคร่าวๆจะเป็นการสอบทางระบบการจัดการงานภายในสำนักงานบัญชีไปในตัวด้วย (ก่อนรับงานเรื่องวิธีการทำงานสำนักงานบัญชีที่มารับงานมักไม่มีปัญหาในการอธิบายให้ลูกค้าฟัง)
5.ลองถามดูว่ามีลูกค้ากี่รายมีพนักงานกี่คน
สำนักงานมักบอกให้มากๆไว้ก่อน ให้ดูน่าเชื่อถือ แต่สัดส่วนที่ไม่เหมาะสมจะทำให้เห็นว่าการบริการที่มีให้มักไม่ดี ถ้าเฉลี่ยแล้วเกิน 10 ราย สงสัยไว้ก่อนได้เลยว่ามักจะไม่ดี อย่ากังวลว่าสำนักงานนั้นมีงานน้อยหรือมาก เพราะการที่มีงานมากเกินไปหากพนักงานเติบโตตามไม่ทัน จะทำให้ดูแลลูกค้าได้ไม่ทั่วถึง หรือบางครั้งการจัดทำงบการเงินเพื่อนำส่งหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง มักจะมาแบบไม่มีเวลาให้ตรวจเช็คหรือถ้ามีเวลาจะให้น้อยมาก บางครั้งมาวันสุดท้ายของการนำส่งภาษีทั้งที่เราส่งเอกสารให้ทุกเดือนพร้อมการเก็บเงิน ถ้าเป็นอย่างนี้ประจำควรเปลี่ยนเพราะการทำงานของเจ้าหน้าที่หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องจะมีการพัฒนาขึ้นทุกวันในอัตราเร่งที่เร็วกว่าสำนักงานบัญชีบางสำนักงาน
ถ้าเป็นไปได้ให้เข้าไปดูที่สำนักงานว่ามีคนทำงานจริง เพราะมีบางสำนักงานโดยเฉพาะสำนักงานกฎหมายบางแห่งใช้วิธีการจ้างคนทำงานเป็นงานๆไป และเก็บเอกสารให้ลูกค้ารวมให้คนทำบัญชีปีละครั้ง ถ้าถามถึงความก้าวหน้างานมักจะผัดผ่อนหรือถ้าถามมากจะพาลโมโหและไม่ติดต่อกลับหรือส่งเอกสารคืนให้เราไปหาคนทำใหม่ ในเวลาที่กระชันมาก โดยอาจไม่คืนเงินค่าบริการที่เก็บไปแล้วคืนเรา
6.ถ้ามีคนรู้จักให้ลองสอบถามดูว่าเคยได้รับเอกสารที่ส่งไปให้ทำบัญชีคืนหรือไม่
ถ้าได้คืนมาในลักษณะไหนจัดเก็บเรียบร้อยหรือไม่ มีการจัดทำสมุดบัญชีให้หรือไม่ ปกติสำนักงานที่รับงานเป็นสัดส่วนที่ไม่เหมาะสมหรือค่าบริการถูกมากๆจะทำบัญชีโดยการบวกบิลค่าใช้จ่ายและรายได้โดยการใช้กระดาษทำการและไม่ได้บันทึกลงสมุดบัญชี และจัดทำงบการเงินให้ผู้สอบบัญชีที่เป็นมือปืนลงนามในงบการเงินเลย (ถึงแม้ว่าหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องจะบอกว่าไม่มีผู้สอบบัญชีที่เป็นมือปืนแล้ว แต่ในข้อเท็จจริงยังมีอยู่)
7.สังเกตุตอนเวลารับงานครั้งแรกให้ดูว่า คนที่มารับงานเป็นอย่างไร
มีความเป็นนักวิชาชีพหรือเป็นนักขาย ถ้าเป็นนักวิชาชีพมักมีข้อแนะนำทางด้านวิชาชีพให้เราและมักไม่ค่อยตามใจเราเท่าไร ลองถามดูว่ามีความรู้ดีแค่ไหน ลองสอบถามดูแต่บางครั้งถ้าถามมากไปเขามักไม่ตอบ ให้ถามพอรู้และเมื่อตกลงให้ทำงานแล้วค่อยขอคุยใหม่อีกครั้งได้ (ไม่ให้เขาคิดว่าเราเอาเปรียบ) หากเป็นนักขายทุกอย่างจะทำให้ได้ทุกอย่างและมักอ้างมาตรฐานการบัญชี , มาตรฐานการสอบบัญชี หรือมาตราตามกฎหมาย เพื่อให้ดูขลัง
8.ลองถามดูถึงเรื่องผู้สอบบัญชีที่เซ็นต์งบว่ามีสำนักงานชัดเจนหรือไม่
ทำงานสอบบัญชีเป็นประจำหรือเป็น sideline ถ้าสามารถถามไว้ตั้งแต่ก่อนเริ่มรับงานว่าผู้สอบบัญชีเป็นใคร ถ้ามีผู้สอบบัญชีที่สำนักงานบัญชีใช้ประจำจะได้คำตอบระดับหนึ่งว่าเป็นผู้สอบบัญชีที่ไม่ใช่มือปืน ถ้าไม่สามารถบอกได้แสดงว่าต้องรอมือปืนเปิดตัวตอนใกล้หน้างบจึงไม่สามารถบอกได้ว่าผู้สอบบัญชีประจำเป็นใครและให้ตรวจสอบจำนวนงบการเงินที่ผู้สอบบัญชีลงนามว่ามีจำนวนมากน้อยเท่าไร จากเวปไซต์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
ปริมาณการรับงานที่เหมาะสมไม่สามารถจะประเมินได้อย่างถูกต้องเนื่องจากลูกค้าแต่ละรายของสำนักงานสอบบัญชีมีขนาดไม่เท่ากัน แต่มีครั้งหนึ่งที่กระทรวงพาณิชย์ได้เคยให้เป็นแนวทางกับสำนักงานสอบบัญชีที่ทางกระทรวงได้เคยสำรวจไว้ประมาณสิบกว่าปีก่อน มีว่า ค่าสอบบัญชีขั้นต่ำ(รายการทางบัญชีน้อยมาก) ประมาณ 7,000 บาท ผู้สอบบัญชีคนหนึ่ง ปฎิบัติงานเต็มเวลาสามารถทำงานได้ปีละ 30 ราย และผู้ช่วยผู้สอบบัญชีต่อคนจะรับงานได้เพิ่ม 15 รายต่อคน และผู้สอบบัญชี 1 คนจะมีผู้ช่วยได้ 10 คน อัตราการรับงานดังกล่าวเป็นอัตราที่ค่อนข้างมาก และเป็นการให้แนวทางไว้หากจะทำงานสอบบัญชีให้ได้ประสิทธิภาพ อัตราดังกล่าวจะต้องดูตามความเหมาะสมอีกครั้ง แต่จะประสบการณ์ที่ผ่านมาอัตราดังกล่าวใกล้เคียงมาก ของสำนักงานปริมาณการรับงานต่อคนจะน้อยกว่าของที่กระทรวงพาณิชย์ให้แนวทางมาพอสมควร
9. ลองให้วิเคราะห์วิจารณ์งบการเงินปีก่อนที่ทำโดยผู้สำนักงานบัญชีอื่นให้เราฟัง
งบการเงินที่ดีมักจะเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ และแต่ละสำนักงานบัญชีมักจะทำตามมาตรฐานที่กำหนด รูปแบบจึงไม่แตกต่างกันมาก ถ้าวิจารณ์เรื่องรูปแบบการทำงบการเงินมากกว่าการศึกษาและสอบถามข้อมูลโดยการวิเคราะห์งบการเงินเป็นหลักใ ห้เข้าใจไว้ว่าไม่ใช่ของจริง และการรับงานส่วนใหญ่ถ้าเป็นคนที่มีประสบการณ์ถ้าดูจากงบการเงินปีก่อน มักจะรู้ว่าจะเกิดปัญหาอะไร ควรรับงานหรือไม่รับงาน ถ้ารับงานจะต้องทำอย่างไรต่อ และมักสอบถามเราเกี่ยวกับเรื่องราวในการบริหารงานและข้อมูลภายในงบการเงินเพื่อประเมินความเสี่ยงของตัวเองว่ารับได้หรือไม่
10.ถ้าไม่มีทางเลือก
ก็ลองใช้ดู ถ้าไม่ดีก็เปลี่ยน แต่อาจเสียเวลาหน่อย ของอย่างนี้ไม่ลองไม่รู้ครับ
ความคิดเห็น