"อัมมาร"แนะรัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจต้องใช้เงิน เร็ว-ไม่ใช่นโยบายหว่านเงินหรือเสพติดจนเกินไป พร้อมแนะหามาตรการรับมือคนตกงาน 8 แสนคน ไตรมาสแรกปีหน้า
กรุงเทพ ธุรกิจ ออนไลน์ : ในวันนี้ (26 ธ.ค.) ได้มีการจัดสัมมนาเรื่อง “ศักยภาพของสังคมไทยกับวิกฤติโลก” กรณีศึกษาด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และพลังงาน ดร.อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า ในปี 2552 ประเทศไทยต้องเผชิญกับพายุเศรษฐกิจอย่างรุนแรง
ทั้ง นี้ เนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกลุกลามสู่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง ประกอบกับปัญหาทางการเมืองที่ยืดเยื้อมายาวนานกว่า 3 ปี มีผลต่อการขยายตัวการส่งออกลดลง มีผลกระทบต่อภาคสังคมไทย
ดร.อัมมาร กล่าวว่า รัฐบาลใหม่จะต้องดำเนินนโยบาย เพื่อลดผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งคาดว่าปีหน้าจะมีการว่างงานในช่วงไตรมาส 1 จำนวน 880,000 คน ไม่ถึง 2 ล้านคนที่วิตกกัน
สำหรับกลุ่มแรกที่รัฐบาลจะต้องดูแล คือ คนตกงาน กลุ่ม 2 เกษตรกร เพราะราคาสินค้าเกษตรปีหน้าจะปรับตัวลดลง หลังจากฟองสบู่ราคาสินค้าเกษตรแตก จึงต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เกษตรกรอย่างถูกต้อง ไม่ใช่การใช้นโยบายประกันราคาพืชผล กลุ่ม 3 ร้านโชห่วย ได้รับผลกระทบจากการขยายสาขาของห้างค้าปลีกขนาดใหญ่กลุ่ม 4 ภาคการท่องเที่ยว ได้รับผลกระทบหนัก และกลุ่ม 5 ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)
นอกจากนี้ รัฐบาลจะต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและถ่องแท้ก่อนที่จะมีการออกนโยบาย กระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การลดภาษีให้กับธุรกิจเอสเอ็มอีลง 5% เพื่อช่วยเอสเอ็มอี ก็ต้องศึกษาข้อมูลให้ลึกซึ้งมากกว่านี้ เพราะปีหน้ามีโอกาสเอสเอ็มอีจะขาดทุน ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายภาษีให้รัฐบาล
ดร.อัมมาร กล่าวว่า การลดภาษีลง 5% จึงไม่ใช่มาตรการตรงจุดที่จะช่วยเหลือเอสเอ็มอี ควรศึกษาข้อมูลเดิมให้มีความเข้าใจว่าเอสเอ็มอี ต้องการการช่วยเหลือลักษณะใด
ส่วนที่หลายคนมองว่า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนโยบายประชานิยมเหมือนกับรัฐบาลอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดร.อัมมาร กล่าวว่า ไม่ได้สนใจว่า เป็นนโยบายประชานิยมหรือไม่
แต่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจะต้องมี หลักการ 2 ข้อ คือ 1. จะต้องใช้เงินได้เร็ว ส่งเงินเข้าถึงระบบเศรษฐกิจได้ทัน 2. จะต้องเป็นนโยบายที่ถอยหลังหรือยกเลิกได้ ไม่ใช่นโยบายที่หว่านเงินหรือเสพติดจนเกินไป
ส่วนเมกะโปรเจคยืนยันว่า ไม่เหมาะสมที่จะดำเนินการขณะนี้ เพราะต้องใช้เวลานานถึง 5 ปี แต่ควรเน้นโครงการในระยะสั้น เช่น การปรับปรุงโรงเรียน การสนับสนุนการศึกษาต่อของนักเรียน โดยเน้นการอัดฉีดเงินให้เร็วที่สุด ขณะที่รัฐบาลก็ต้องปรับปรุงระบบการออมเพื่อยามชรา รวมทั้งดูแลรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ที่มีปัญหาขาดทุนว่า จะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร และไม่เห็นด้วยกับการลดภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะปัจจุบันก็อยู่ในอัตราที่ต่ำกว่าประเทศอื่นอยู่แล้ว หากลดภาษีไปแล้วการกลับมาขึ้นใหม่ก็เป็นไปได้ยาก