รายงานโดย :เรื่อง / ภาพ สุธน สุขพิศิษฐ์:
เมื่อวันที่ 8-10 พ.ค. ที่เป็นวันหยุดยาว ผมนึกอยากเที่ยวทะเลโดยวางแผนว่าให้คณะผมลาพักร้อนต่ออีก 2 วัน คือวันที่ 11-12 ก็เท่ากับว่าลาแค่ 2 วัน แต่ได้เที่ยวถึง 5 วันและ เมื่อคิดว่าได้วันยาวๆ อย่างนั้นแล้วก็ไปให้ไกลหน่อย จากที่เคยไปแค่ประจวบคีรีขันธ์ คราวนี้ก็น่าจะไปถึงชุมพร ที่มองชุมพรเพราะคิดว่าอาจจะเป็นเมืองที่คนมองข้าม ชุมพรเหมือนเป็นประตูของปักษ์ใต้ เมื่อจะเที่ยวใต้ก็ข้ามชุมพรไปแล้วมุ่งไปสู่กระบี่ พังงา ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี หรือนครศรีธรรมราช ไปเลย
ถึงแม้ชุมพรจะมีอ่าวหาดทุ่งวัวแล่นและหาดทรายรีและเกาะเต่า ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของเขา แต่เมื่อผมดูแผนที่แล้วยังมีอ่าวอีกมากมายก่ายกอง ผมชอบเที่ยวที่ที่ยังไม่ดังครับ อาจจะเจอของดีก็ได้ และเท่าที่เที่ยวๆ มาก็มักจะเจอของดีอย่างไม่นึกคาดฝันมาแล้วทั้งนั้น
แต่ปรากฏว่าคิดผิดถนัด เมื่อโทร.จองรีสอร์ต บ้านพัก โรงแรม เต็มหมดทุกแห่ง ที่คิดว่าคนมองข้ามชุมพรนั้นไม่ใช่ เมื่อหาที่พักที่ชุมพรไม่ได้ ก็เอาแถบประจวบฯ ก็แล้วกัน ก็เต็มอีกแม้กระทั่งโรงแรมที่ดูแล้วไม่ค่อยเข้าท่ายังเต็มเอี้ยด เลยล้มเลิกการเที่ยว วันศุกร์ที่ 8 ก็ออกไปเป็นเจ้าของถนนในกรุงเทพฯ เผอิญก่อนออกจากบ้านลองให้ผู้สื่อข่าวท้องถิ่นที่ชุมพรช่วยหาที่พักให้ แต่ก็ไม่ได้หวังอะไรมาก พอตอนเย็นๆ เข้าบ้านแล้ว คนที่ให้ช่วยหาที่พักนั้นบอกว่าได้รีสอร์ต ที่หาดทรายรี ได้ 2 หลัง นั้นพอเช้าวันเสาร์ก็เลยตีรถไปชุมพร ไปกินกลางวันที่ร้านรับลม ที่หน้าอ่าวประจวบฯ คนแน่นเหมือนกินฟรี ส่วนใหญ่คนกรุงเทพฯ ทั้งนั้น
จากนั้นก็ไปที่หาดทรายรี ชุมพร ผมเพิ่งไปที่นั่นครั้งแรก ระหว่างที่ขับรถเข้าทางต้นทางของหาดทรายรีไปถึงสุดอ่าว มีรีสอร์ตเยอะแยะ เมื่อเห็นแล้วคิดในใจไม่ชอบเลย ดูเกะกะไม่มีระเบียบ ไม่สะอาด ไม่สมกับเป็นเมืองหน้าตาของชุมพร ตัวรีสอร์ตมีทั้งอยู่ริมทะเลและทั้งอยู่อีกฝั่งถนน ซึ่งทั้งหมดจะมีร้านอาหารและตั้งซุ้มกินอาหารที่เป็นเพิงถาวรบ้างเพิงชั่ว คราวบ้างอยู่ริมทะเลแบบไม่น่าดูเอาเลย
รีสอร์ตที่ผมจะอยู่นั้นอยู่สุดอ่าวหาดทรายรี สร้างแบบไม่มีแปลนไม่มีแผน มีร้านอาหารริมหาด และมีซุ้มกินอาหารออกนอกร้าน ผมไปชะเง้อดูอาหารที่คนเขาสั่งกินกันก็ไม่น่าสนใจ สำหรับมื้อค่ำวันนั้นผมชวนเจ้าถิ่นที่เป็นผู้สื่อข่าวท้องถิ่นไปกินข้าวใน เมือง ชื่อร้านพริกหอม เป็นร้านรับแขกบ้านแขกเมือง เห็นว่ามีสาขาที่กรุงเทพฯ สุขุมวิท 83 ด้วย กับข้าวที่กินก็มี ปลากะพงทอดน้ำปลา แกงส้มหรือแกงเหลืองปลากับต้นคูน ผัดสะตอกับกะปิใส่กุ้ง ใบเหลียงผัดไข่ ใช้ได้ครับ รสไม่เผ็ดเท่าไหร่ ก็น่าจะไม่เผ็ด เพราะแขกต่างถิ่นต้องค่อยกินค่อยไป ขืนจู่โจมเป็นเผ็ดแบบใต้แท้ๆ เดี๋ยวลิ้นเสียอนาคต
กลางคืนนอนที่รีสอร์ตที่ว่า ตอนดึกๆ ได้เพื่อนมาขับกล่อมให้ฟัง เป็นตุ๊กแกครับ คงเข้ามาทางพัดลมดูดอากาศในห้องน้ำ เมื่อปิดพัดลมจะมีช่องให้เข้ามาได้ เสียงใสดังกังวานสมเป็นนักร้องสยองขวัญ แถมเช้ามืดมีเสียงรถบรรทุกเข้ามาแต่เช้า เปิดเครื่องดังกระหึ่ม ชะโงกดูที่หน้าต่างกลายเป็นรถดูดส้วมครับ คนมามากส้วมเลยเต็ม นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาอีกเหมือนกัน
ผมออกไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น ดวงอาทิตย์นั้นเพิ่งโผล่จากทะเล มีฉากด้านข้างเป็นเกาะ มีด้านหน้าเป็นเรือประมง สวยดีครับ
แต่ที่ไม่ชอบเลยก็คือเมื่อผ่านพวกซุ้มกินอาหารทั้งหลายนั้น จาน ชาม ถ้วย โถข้าว ช้อนส้อม กองเกะกะ เศษอาหารเกลื่อนพื้น ทั้งขวดเบียร์ แก้วพลาสติก กระดาษทิชชู ก้นบุหรี่ กระจายไปทั่ว ถังขยะนั้นล้นเรี่ยราด อันนี้ต้องโทษคนกินกับเจ้าของร้านอาหาร เจ้าของร้านอาหารเขาอาจจะโทษว่าคนไปกันมากเลยดูแลไม่ทั่วถึง ถ้าอ้างอย่างนั้นก็ใช้ไม่ได้ ก็ลองไม่ทำซุ้มกินอาหารริมทะเลก็ไม่มีปัญหา ทีในร้านก็มีโต๊ะเก้าอี้อยู่เวลาเก็บร้านก็เห็นต้องเก็บกวาดอยู่ดี
อีกอย่างคือ อบต. ซึ่งคำเต็มว่าองค์การบริหารส่วนตำบล แต่เห็นว่ามีอีกคำเต็มว่า เอาทุกบาททุกสตางค์ อบต.ไม่ควรปล่อยให้มีร้านอาหารและซุ้มกินอาหารริมทะเล ปล่อยเจ้าหนึ่งก็ต้องมีอีกสิบเจ้า ซึ่งเมื่อปล่อยแล้วภาระก็ตกอยู่กับอบต.เองนั่นแหละ ต้องเพิ่มงบดูแลความสะอาด ทั้งทางเดินเท้า การกำจัดขยะ ยิ่งเป็นร้านอาหารริมทะเลยิ่งไม่ควรให้มีอย่างยิ่ง เพราะผมเชื่อว่าร้านอาหารทั้งหลายไม่สนใจและไม่มีความรู้และเพิกเฉยเรื่อง สุขาภิบาล ระบบน้ำเสียและไขมันจากอาหาร และน้ำจากห้องน้ำห้องท่าต้องปล่อยทะเลแน่ นี่เป็นเรื่องใหญ่ทั้งนั้น
ผมก็อดนึกถึงเมืองนอก ที่เป็นเมืองตากอากาศทางทะเล กรรมการเมืองเขาแข็งมาก ระบบทางเดิน ระบบแสงสว่างในตอนกลางคืน ระบบรักษาความปลอดภัย ที่ชายหาดพอตอนเช้ามืดก็มีรถแทรกเตอร์มากวาดและกรองเศษสิ่งสกปรกตามชายหาด เขาทำทุกวัน หาดเขาถึงสะอาดนั่งได้นอนได้ สวยอีกต่างหาก ที่บ่นๆ นี่เพราะเสียดายครับบ้านเรา ปล่อยจนเละเกินความควบคุม อีกหน่อยก็เป็นสลัมริมทะเล
วันนั้นไม่เอาแล้วหาดทรายรี เดินหน้าต่อ ไปหาที่พักที่เที่ยวใหม่ ไปสวี ถ้าสวีไม่มีก็ไปทุ่งตะโก ถ้าไม่มีอีกก็ไปหลังสวน
ระหว่างทางถ้าผ่านอ่าวอะไรก็แวะเข้าไปดูหมด ที่ใกล้ๆ อุทยานแห่งชาติ ตรงอ่าวทุ่งคา สวยมากโค้งลึกเป็นวงกลม ผืนดินชายหาดนั้นเป็นสวนมะพร้าวทั้งสิ้น แต่ไม่ค่อยมีหาดทรายจะเป็นหินเสียส่วนใหญ่ บางที่เป็นดินโคลน มีป่าชายเลน และน้ำทะเลค่อนข้างจะขุ่น จึงไม่มีรีสอร์ต หรือบ้านพัก นั่นแหละของดี อย่างหนึ่งคือธรรมชาติยังไม่ถูกรบกวน และอีกอย่างเป็นแหล่งเจริญพันธุ์ของสัตว์น้ำ
ผมไปหาดสวี สวยครับหาดยาวไกลตาดีและค่อนข้างจะเงียบ สวนมะพร้าวชายหาดมีเยอะ ในทะเลนั้นมีเกาะเยอะมากซึ่งไม่ไกลจากฝั่ง ส่วนใหญ่เป็นเกาะที่ได้สัมปทานรังนกนางแอ่นจากหาดสวี วิ่งเรื่อยลัดเลาะมาหน่อยหนึ่ง มาเห็นทางเข้าอ่าวขวัญทอง ก็ลุยเข้าไป เป็นหมู่บ้านชาวประมง เกิดไปเห็นเหล่าแม่บ้านกำลังแกะเนื้อปูม้าอยู่ ลงไปคุยดูก็ได้เรื่องใช่เลยมีทั้งเนื้อกรรเชียงปูและปูนึ่งเป็นตัวๆ ปูนึ่งนั้นกิโลละ 150 บาทเท่านั้น ถูกยังไม่พอยังสดอีกต่างหาก ซื้อมาเลย 2 กิโล ซื้อมาโดยยังไม่รู้ว่าจะไปหาที่นั่งกินที่ไหน
ยังมีโชคดีทับถมอีกคือ เจอ Home Stay ชื่อ 117@sea home stay สวยมากใช้สถาปนิกออกแบบ มี Function สมบูรณ์แบบ ตกแต่งห้องนอนหรู สุขภัณฑ์ในห้องน้ำชั้นหนึ่ง ส่วนด้านหน้าเปิดโล่ง เป็นที่นั่งเล่นนอนเล่น กินอาหาร มีครัวเล็กๆ ส่วนนี้จะเห็นวิวแบบเต็มตา ห่างออกไปจากหน้าบ้านนิดเดียวมีเกาะเล็กๆ สองเกาะ Home Stay แห่งนี้มีแค่ 2 ห้องครับ ห้องหนึ่งเป็น Honeymoon Suite แต่ 2 ห้องนี้ราคาเดียวกันคือคืนละ 7,500 บาทครับ ผมรู้แล้วว่าครั้งหน้าเสร็จผมแน่ ต้องไปแน่ครับ ที่ผมชอบนั้น อย่างหนึ่งจะเป็นวิวที่หายากมาก อย่างที่สองอยู่สุขสบาย อย่างที่สามอยู่ใกล้ชาวบ้าน ผมชอบคุย ชอบสนทนาพาทีเอิ๊กอ๊ากกับชาวบ้าน ตลอดชีวิตที่ผ่านมาที่พอรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็รู้จากชาวบ้านทั้งนั้น เรื่องราววิถีชีวิตวิธีทำมาหากิน สังคม จากปากชาวบ้านนั้นคือตำราเล่มใหญ่ ลึกซึ้งละเอียดลออกว่าห้องสมุด
ผมหาที่พักได้ที่อ่าวทุ่งตะโก เงียบสบายมาก ผมพบแล้วว่าของดีของชุมพรนั้นอยู่ที่ทุ่งตะโก ซึ่งต้องเขียนในสัปดาห์หน้าครับ ที่นี่ก็เหมือนกันไม่เขียนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอกแตกตายครับ
ชุมพรอีกครั้ง
ทาง ด้านต้นของหาดเป็นปากน้ำตะโก ผมมาถึงที่หาดนี้เอาตอนกลางวันพอดี ถึงเวลาที่ต้องหาที่กิน ครั้นจะกินแต่ปูม้าต้มที่ซื้อมาจากอ่าวขวัญทองอย่างเดียวก็กลัวจะไม่อิ่ม ถามชาวบ้านว่ามีที่ไหนอร่อย เขาบอกว่ามีร้าน “เลโก” อยู่ริมทะเล ใช้ได้ ก็เลือกกินร้านนี้ สั่งแกงเหลืองปลาอินทรีกับยอดมะพร้าว ใบเหลียงผัดไข่ น้ำพริกกุ้งสด อร่อยใช้ได้ครับ พอกินเสร็จถามคนที่ร้านว่าทำไมชื่อเลโก เขาบอกว่าที่จริงตั้งชื่อว่า ริมทะเลหาดตะโก แต่คนใต้พูดเร็วปื๊ดเลยเหลือแค่เลโก ก็จริงครับคนใต้นั่งรถไฟสวนกันยังพูดกันรู้เรื่อง ..ไปไน้.. ..ไปใย้.. คือไปที่ไหน คำตอบคือ ไปหาดใหญ่ แค่นี้เอง ต้องยอมรับว่าพูดเร็วจริงๆ
เย็นวันนั้นได้ที่พักที่หาดตะโกหรือหาดอรุโณทัยนั่นเอง เช้าวันรุ่งขึ้นก็ไปเที่ยวที่ปากน้ำตะโก ที่นั่นเป็นชุมชนใหญ่พอประมาณอยู่ริมปากน้ำ เดินดูแล้วต้องบอกว่าเพลินครับ บรรยากาศเงียบๆ น่ารักมาก เดินถ่ายรูปกลางถนนก็ไม่ต้องกลัวถูกรถชน บ้านเรือนริมถนนยังเห็นห้องแถวไม้ มีลวดลายฉลุตรงใต้ชายคา มีศาลเจ้าเล็กๆ สวยดี ด้านหลังของชุมชนเป็นบ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นท่าเทียบเรือประมง อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำตะโก ยังเป็นป่าชายเลนที่สมบูรณ์ด้วยป่าไม้โกงกาง ท่าทางแม่น้ำนี้ต้องสมบูรณ์ด้วยสัตว์น้ำ
เดินสักพักก็เข้าร้านกาแฟแบบกาแฟถุง หน้าร้านนี้ติดซุ้มรูปในหลวง แบบศิลปะพื้นบ้าน ภายในร้านติดรูปรัชกาลที่ 5 กับรูปกรมหลวงชุมพรฯ คนขายอัธยาศัยดีมากคุยว่า ที่เป็นชุมชนเงียบๆ เพราะเหลือแต่คนแก่ รุ่นหนุ่มสาวเรียนหนังสือจบแล้วไปทำงานที่อื่นหมด แล้วยังบอกอีกว่าถ้าไม่มีเสียงรถมอเตอร์ไซค์แล้วแถวชุมชนนี้จะเรียกว่าเงียบ สงัดเอาเลย และผู้คนก็ชอบที่จะอยู่แบบง่ายๆ แถมแนะนำว่าอยากเห็นวิวหาดตะโกสวยๆ ต้องวิ่งข้ามสะพานแม่น้ำตะโกแล้วไปเข้าถนนเล็กๆ สายที่ไปวิทยาลัยประมงชุมพร ที่เรียกว่าหัวเกาะ จะไปเห็นอีกมุมหนึ่งของหาดตะโก
ผมเดินดูชุมชนมาจ๊ะเอ๋เอาบ้านหนึ่งกำลังแล่ปลา จะทำปลาเค็มแดดเดียว ดูปลาเป็นปลาโต้มอญล้วนๆ กองใหญ่เหมือนกัน และขนาดกำลังน่ากินอีกด้วย เป็นปลาจากเรือตกเบ็ดที่เพิ่งขึ้นมา ปลาบางตัวยังมีเอ็นเบ็ดตกปลาอยู่ที่ปากเลย ปลาโต้มอญนี่เป็นปลาในฝันของเหล่าคนชอบตกปลาในทะเล สู้เบ็ดสนุก กินอร่อย
ทำให้ผมนึกถึงเมื่อครั้งที่ไปกินร้านอาหารทะเล ที่คีย์เวสต์ ฟลอริดา ในเมนูมี สเต๊กดอลฟิน ทีแรกนึกว่าเป็นสเต๊กปลาโลมา ที่แท้ก็เป็นปลาโต้มอญนี่เอง ตอนนั้นถึงรู้ว่าอร่อยใช้ได้ และเมื่อมาเจอสดๆ เพิ่งขึ้นจากน้ำ ตายังใสแจ๋วอยู่ ไม่ซื้อก็เหมือนโยนของดีทิ้งทะเล แล้วตัวหนึ่งหนัก 2 กิโล กินได้ทั้ง 2-3 มื้อ แต่ราคาแค่ 120 บาท หาอะไรคุ้มกว่านี้อีกไม่ได้แล้ว และผมมีคูลเลอร์ติดรถอยู่แล้วก็อัดน้ำแข็งเต็มที่จะเข้ากรุงเทพฯ วันไหนปลาก็ยังสดอยู่
ผมไปที่หัวเกาะตามที่ว่า ตอนข้ามสะพานแม่น้ำตะโก เห็นวิวกินขาด มองลึกเข้าไปตามต้นแม่น้ำมีวิวภูเขา เหมือนจ.กระบี่ ที่เห็นเขาขนาบน้ำไม่มีผิด แต่แม่น้ำตะโกสวยกว่าเพราะจะมองไปเห็นธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีสิ่งก่อสร้างอะไรมาปะปน ไม่เหมือนที่กระบี่มองไปก็เป็นเขื่อนริมน้ำและมีตึกแถวขนาบน้ำอีกที
พอลัดเลาะไปทางถนนที่ไปหัวเกาะพอโผล่ด้านทะเลกว้างๆ เมื่อเห็นวิวหาดตะโกแล้ว สวยสุด ยอดเยี่ยม แล้วเผอิญเป็นที่ดินของกองทัพเรือ ถ้าไม่ใช่เป็นที่ดินของราชการป่านนี้มีรีสอร์ตเต็มพรึบไปหมดแล้ว
ผมวิ่งกลับไปทางหาดตะโกเหมือนเดิมเพื่อไปออกที่อ.สวี ผ่านอ่าวขวัญทองอีกก็แวะเข้าไปเพื่อซื้อปูม้าต้มไปกินอีกมื้อหนึ่ง ปรากฏว่าเรือจับปลาของชาวบ้านเพิ่งเข้ามาหยกๆ เพิ่งยกหลัวเข่งปลาลงจากเรือ มีปลามาเต็มหลัว ส่วนใหญ่เป็นปลาทูกับปลาอินทรีขนาดไม่ใหญ่นัก ใหญ่กว่าปลาซาบะหน่อย
ซื้อปลาทูมา 2 กิโล กิโลละ 30 บาท หรือจ่าย 60 บาทได้ปลาทูมา 30 ตัว ก็เท่ากับตัวละ 2 บาท แถมเอาปลาอินทรีมาอีกสองตัว 50 บาท ก็แปลว่าจ่ายเงินไป 110 บาท ถือว่าทำเงินหล่นหายไปนิดเดียว แต่ได้ของขวัญจากธรรมชาติที่หาไม่ได้อีกแล้ว
ตีรถเข้าตัวจ.ชุมพร มีเป้าหมายครับ ต้องไปกินอาหารปักษ์ใต้ที่ร้าน “ยายปวด” ให้ได้ ร้านยายปวด อยู่ในซอยวัดบางหมากหรือซอยปรมินทรมรรคา 24 อยู่ใกล้สามแยกไปอ.ปะทิว วิ่งเข้าไปกิโลเดียวก็ถึงร้านยายปวด เป็นร้านเปิดโล่ง แบบง่ายๆ ด้านหลังเป็นสวนมะพร้าว ส่วนที่ทำอาหารของยายปวดเหมือนร้านอาหารตามสั่ง ผมมีกัน 4 คน สั่งอาหาร 6 อย่าง ไม่ใช่อะไรอันนั้นก็น่ากินอันนี้ก็น่ากิน มาถึงที่แล้วไม่กินจะเสียชื่อคนตะกละลากดิน
ที่สั่งมาก็มี ต้มแซบเนื้อเปื่อย แกงเลียง ปลาอินทรีทอด แกงเหลืองต้นคูนกับปลากะพง ฉู่ฉี่ปลาโฉมงามกับใบยี่หร่า สะตอผัดกะปิใส่กุ้ง
ต้มแซบนั้นสุดพรรณนาขนาดกินหมดแล้วร่ำๆ จะซื้อกลับกรุงเทพฯ ปลาอินทรีจะคลุกแป้งยายเท้าและพริกไทย อร่อยมาก ยิ่งน้ำจิ้มนั้นสุดๆ แกงเหลืองก็อร่อย ฉู่ฉี่ปลาโฉมงามกับใบยี่หร่านั้นน้ำจะมากเหมือนกับเป็นแกงมากกว่า ไม่เหมือนกับฉู่ฉี่ที่เคยกินที่น้ำจะขลุกขลิก ฉู่ฉี่ยายปวดทั้งอร่อยและหอมใบยี่หร่า แกงเลียงผักทีแรกเห็นน้ำใสๆ ดูเฉยๆ เก็บไว้กินทีหลัง ไม่หมดก็ไม่เป็นไร แต่ปรากฏว่า คาดไม่ถึงน้ำใสๆ อย่างนั้นมีกลิ่นปลาย่างและร้อนพริกไทย ขนาดอิ่มแล้วยังกินไม่เหลือ
ก็สรุปเอาว่า ร้านยายปวดนี่ อร่อยเจ็บปวด ไม่กินร้านนี้ถือว่ามาไม่ถึงชุมพร ครั้งหน้าถ้าจำเป็นจะต้องผ่านชุมพร ต้องระบุในตารางเดินทางเลยว่าต้องกินร้านยายปวด ห้ามพลาดที่จะเอาของดีใส่ปาก
ตีรถกลับแต่ไม่ยอมขึ้นถนนสายเอเชีย วิ่งเส้นในผ่านอ.ปะทิว ซึ่งถนนเส้นนี้จะขนานไปกับทะเลตลอด บางช่วงก็ชิดทะเล บางช่วงก็ห่างหน่อย เดี๋ยวเดียวฝนเทกระหน่ำ ไปเที่ยวปักษ์ใต้ไม่เจอฝนตก ก็จะดูว่าขาดๆ ไป วิวสองข้างทางเป็นสวนปาล์มน้ำมันบ้าง ยางพาราบ้าง เมื่อยามฝนขาดเม็ดแล้ว เขียวสดชื่นดี พอเมื่อออกจากเขตชุมพรก็เหมือนกับเพิ่งตื่นนอนที่เพิ่งฝันถึงสวรรค์อยู่หยกๆ นี่แหละครับชุมพร