จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์
โดย : วินิจ รังผึ้ง
“...การทำงานด้วยน้ำใจรักต้องหวังผลงานนั้นเป็นสำคัญ แม้นจะไม่มีใครรู้ใครเห็นก็ไม่น่าวิตก เพราะผลสำเร็จนั้นจะเป็นประจักพยานที่มั่นคง ที่พูดเช่นนี้ เหมือนกับสอนให้ปิดทองหลังพระ การปิดทองหลังพระนั้น เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องปิด ว่าที่จริงแล้วคนโดยมากไม่ค่อยชอบปิดทองหลังพระกันนัก เพราะนึกว่าไม่มีใครเห็น แต่ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้า ไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย พระจะเป็นพระที่งามสมบูรณ์ไม่ได้...”
ผมขออัญเชิญพระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานไว้ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2506 ที่ทรงพระราชทานแนวทางการทำงานเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมและประเทศชาติ ซึ่งเป็นงานหนักที่ต้องอาศัยความทุ่มเทความรู้ ความสามารถและความตั้งใจจริง แม้การกระทำนั้นจะไม่ค่อยมีใครมองเห็นซึ่งเป็นเสมือนการ “ปิดทองหลังพระ” แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องมีคนทำ มีคนเสียสละและมุ่งมั่นตั้งใจจริงที่จะทำเพื่อส่วนรวม ซึ่งดูเหมือนแนวพระราชดำริการทำงานเพื่อส่วนรวมแบบปิดทองหลังพระนั้นดู เหมือนสังคมเราจะขาดแคลนคนเสียสละ หรือคนที่ตั้งหน้าตั้งตาปิดทองหลังพระกันจริงๆ
และในทางตรงกันข้าม นอกจากจะไม่ค่อยมีใครเสียสละปิดทองหลังพระกันแล้ว กลับยังจะมีคนประเภท ทำงาน บริหารงาน บริหารบ้านเมืองแบบขูดทองจากด้านหน้าองค์พระประธานเพื่อกอบโกยเอาไปเป็น ประโยชน์ส่วนตนกันอย่างหน้าด้านๆ อย่างไม่อายฟ้าดินกันเข้าไปทุกที การกระทำอันน่าละอายที่ทำร้ายชาติบ้านเมืองเช่นนี้ ในยุคสมัยกรรมติดจรวด วันหนึ่งในเวลาอันใกล้คนเหล่านั้นก็คงจะได้ชดใช้กรรมชั่วที่ตัวก่อขึ้นอย่าง แน่นอน
กำลังจะเล่าถึงโครงการดีๆ กับปรัชญาการทำงานที่เป็นแบบอย่างของความเสียสละและทุ่มเทให้กับส่วนรวมที่ น่าน้อมนำมาปฏิบัติ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องแวะไปกล่าวถึงพฤติกรรมการแก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์ ของฝ่ายการเมืองที่ดูจะเลวร้ายลงไปทุกวันไม่ได้ ก็คงต้องฝากความหวังไว้กับพี่น้องประชาชนว่าคงจะต้องช่วยกันคัดสรรผู้แทนดี ที่ พรรคการเมืองดีๆ มีคุณภาพ ไม่โกงชาติโกงบ้านเมืองเข้ามาบริหารบ้านเมือง ไม่เช่นนั้น ประชาชนที่เลือกเข้ามานั่นแหละจะต้องเป็นผู้รับผลกรรมในสิ่งที่ตนทำ ในสิ่งที่ตนเลือกเข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แนวทางการทำงานอย่างทุ่มเทและเสียสละเพื่อส่วนรวมแบบปิดทองหลังพระ ตามพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องยาก แต่ก็มีผู้คนจำนวนมากที่น้อมนำไปถือปฏิบัติเป็นแนวทาง ไม่เช่นนั้นประเทศชาติของเราก็คงไม่เจริญก้าวหน้าและพัฒนามาจนถึงทุกวันนี้ และผู้คนรวมทั้งหน่วยงานที่ทุ่มเททำงานเพื่อส่วนรวมแบบปิดทองหลังพระนี้ ก็จะยังคงมุ่งมั่นทำงานอย่างเข้มแข็งต่อไปแม้ผู้คนทั่วไปอาจจะไม่มีโอกาสได้ รับรู้ถึงกระบวนการของการทำงานที่ทุ่มเทเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมเหล่านั้นก็ ตาม
การทรงงานหนักเพื่อพสกนิกรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็นับเป็นแบบอย่างของการทำงานแบบปิดทองหลังพระเช่นกัน เพราะโครงการพระราชดำริที่เป็นประโยชน์แก่พสกนิกรที่มีมากมายกว่า 3,000 โครงการ ก็เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดี ซึ่งโครงการพระราชดำรินั้นได้ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนในทุกหมู่เหล่า ทุกชนชั้นของสังคม และทุกภูมิภาคของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นโครงการหลวงที่ได้ช่วยแก้ปัญหาแก่ประชาชนในถิ่นทุรกันดารกลาง ป่าเขาให้เลิกปลูกฝิ่นเพื่อแก้ปัญหายาเสพติด และส่งเสริมให้ปลูกพืชทดแทนเพื่อให้เกิดรายได้ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ขึ้น ซึ่งดำเนินไปพร้อมๆ กับการปรับปรุงสภาพแวดล้อมการฟื้นฟูผืนป่าต้นน้ำลำธาร เป็นการคืนความอุดมสมบูรณ์และความชุ่มชื้นมาสู่ผืนแผ่นดินสู่ชุมชนเกษตรใน พื้นราบ อันเป็นการสกัดกั้นปัญหายาเสพติดที่จะระบาดเข้ามาสู่เมืองใหญ่ ทั้งยังเป็นการแก้ปัญหาความมั่นคงตามแนวชายแดนไปในตัว
หรืออย่างโครงการแก้ปัญหาชลประทาน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสำคัญกับการชลประทานที่เป็นหัวใจ แก่การเกษตรอย่างยิ่ง จึงทรงพระราชทานโครงการชลประทานเพื่อแก้ปัญหาในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศให้เกษตรกรได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างกว้างขวาง และพระองค์ท่านยังทรงห่วงใยแม้นแต่พสกนิกรในเมืองที่ประสบความทุกข์ยากจาก ปัญหาน้ำท่วม เช่นในกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งพระองค์ทรงศึกษาและพระราชทานแนวพระราชดำริโครงการแก้มลิง หรือโครงการใหญ่ๆอย่าง โครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่จังหวัดลพบุรี โครงการเขื่อนขุนด่านปราการชล ที่จังหวัดนครนายก ซึ่งสามารถจะเก็บกักน้ำเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมในฤดูน้ำหลาก และค่อยๆระบายน้ำสู่ระบบชลประทานเพื่อเป็นประโยชน์ต่อพื้นที่การเกษตรในยาม น้ำแล้งได้อย่างดียิ่ง ซึ่งทั้งเกษตรกรและพวกเราที่อยู่ในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯมหานครล้วนได้รับ ผลดีจากโครงการ เพราะไม่เคยมีเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ๆในกรุงเทพฯ มาจนปัจจุบัน
โครงการพระราชดำริที่มีมากมายกว่า 3,000 โครงการ ล้วนเป็นประโยชน์ต่อประชาชนคนไทยอย่างสูงยิ่ง ซึ่งไม่สามารถจะกล่าวรายละเอียดหรือแค่เพียงยกตัวอย่างให้ครบถ้วนสมบูรณ์ก็ ยากยิ่งแล้ว นั่นยิ่งสะท้อนถึงพระอัจฉริยภาพและการทุ่มเททรงงานหนักของพระองค์ท่านเพื่อ พสกนิกรของพระองค์ กับความทุ่มเทของหน่วยงานและบุคลากรที่น้อมนำและทำงานเพื่อสนองโครงการ ตามพระราชดำริที่ต้องใช้ทั้งความรู้ ความสามารถ และความทุ่มเท กับระยะเวลาอีกยาวนานจึงจะสามารถฝ่าฟันไปสู่ความสำเร็จได้ ซึ่งก็ล้วนเป็นการทำงานแบบปิดทองหลังพระที่ยากจะมีผู้คนรับรู้ทั้งสิ้น
ในปี 2550 อันเป็นปีมหามงคลเฉลิมพระพรรษา 80 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มูลนิธิชัยพัฒนาร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ(สสปน.) ได้จัดทำโครงการ “ปิดทองหลังพระ ท่องเที่ยวเรียนรู้โครงการพระราชดำริ” ขึ้น เพื่อส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไป ได้มีโอกาสเข้าไปเที่ยวชมและสัมผัสความสวยงามในพื้นที่โครงการพระราชดำริ พร้อมๆกับการเรียนรู้แนวพระราชดำริในด้านต่างๆ เพื่อนำกลับมาเป็นประโยชน์ต่อการทำงาน การประกอบอาชีพ และเป็นแนวทางการดำเนินชีวิต ซึ่งการจัดทำโครงการปิดทองหลังพระ เรียนรู้โครงการพระราชดำริในช่วงแรก (2550-2551) นั้นประสบผลสำเร็จอย่างดียิ่ง เพราะมีทั้งนักท่องเที่ยวและประชาชนผู้สนใจเดินทางไปเยี่ยมชมและศึกษา โครงการพระราชดำริต่างๆมากถึงกว่า 2 ล้านคนซึ่งหลายๆคนได้ความรู้ประสบการณ์ใหม่ๆมาประกอบวิชาชีพ ได้แนวทางและกำลังใจในการทำงานอย่างเสียสละและทุ่มเทกลับมายึดถือปฏิบัติ
เมื่อโครงการปิดทองหลังพระ ท่องเที่ยวเรียนรู้โครงการพระราชดำริประสบความสำเร็จ รัฐบาลจึงได้จัดสรรงบประมาณมาขยายโครงการขั้นที่ 2 ต่ออีก 3 ปี โดยเริ่มต้นจากปี 2552-2554 เพื่อเป็นการสานต่อการศึกษาเรียนรู้ของประชาชนในโครงการพระราชดำริ ซึ่งการขยายโครงการก็เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในยุควิกฤตเศรษฐกิจ ที่ผู้คนกำลังเดือดร้อนจากผลกระทบของวิกฤตการณ์ดังกล่าว หลายๆคนได้เข้าไปท่องเที่ยว เข้าไปศึกษาอบรมและดูงานในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเรื่องน้ำในการเกษตร การทำเกษตรแบบผสมผสาน การเลี้ยงปลา เลี้ยงกบ การเพาะเห็ด การปลูกพืชผักเมืองหนาว และความรู้ในแขนงต่างๆอีกมากมาย นอกจากจะได้เข้าไปอบรม ดูงานแล้วหลายๆคนยังได้พบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์กับชาวบ้านที่ เป็นเกษตรกรตัวอย่างผู้ประสบผลสำเร็จในการทำการเกษตรตามแนวพระราชดำริอีก ด้วย
โครงการปิดทองหลังพระ ท่องเที่ยวเรียนรู้โครงการพระราชดำริ ในช่วงที่ 2 นี้ ทางสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการซึ่งเป็นแม่งานหลัก กำลังเร่งจัดทำเส้นทางท่องเที่ยวที่จะมานำเสนอกับผู้สนใจ โดยจะเน้นพื้นที่โครงการพระราชดำริที่กระจายอยู่ทั่วประเทศเป็นจุดหลัก และจะผนวกเอาแหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียงเข้าไปเป็นจุดสนใจร่วมในโปรแกรมเพื่อ ให้เกิดความสมบูรณ์ของเส้นทางท่องเที่ยว และจะมุ่งเน้นกิจกรรมการมีส่วนร่วมของนักท่องเที่ยว เช่นการการร่วมกันปลูกต้นไม้เพื่อความร่มเย็นของผืนแผ่นดินและสภาพแวดล้อม หรือกิจกรรมสาธารณประโยชน์กับชุมชนและส่วนรวม เพื่อให้เกิดสำนึกของความเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวมตามแนวพระราชดำริของ การทำงานแบบปิดทองหลังพระ ซึ่งนอกจากกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวและประชาชนผู้สนใจทั่วไปแล้ว ทาง สสปน.ยังจะเน้นไปยังกลุ่มประชุมสัมมนาตามหน่วยงานต่างๆและบริษัทห้างร้าน เอกชน ให้มีโอกาสเข้ามาเยี่ยมชม ศึกษาดูงาน เพื่อจะได้เห็นได้สัมผัสถึงแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ ได้ทรงงานหนักเพื่อประชาชนคนไทยมาโดยตลอด และจะได้ร่วมปิดทองหลังพระกันคนละไม้คนละมือเพื่อประเทศชาติและผืนแผ่นดิน ไทยที่รักยิ่งของพวกเราทุกคน