จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์
โดย : หนุ่มลูกทุ่ง
วงเวียนที่ฉันกำลังจะพูดถึงนี้ไม่ใช่วงเวียนในความหมายแรก แต่เป็นวงเวียนในความหมายที่สองที่อยู่บนถนนหลายๆสาย และในกรุงเทพฯนั้นก็มีวงเวียนอยู่หลายแห่งด้วยกันที่มีความเป็นมาที่น่าสนใจ พูดอธิบายมากไปชักจะเกิดอาการวิงเวียน เพราะฉะนั้นไปดูเลยดีกว่าว่ามีวงเวียนอะไรกันบ้าง วงเวียนที่สำคัญๆในกรุงเทพฯนั้นก็มีหลายแห่งด้วยกัน ซึ่งส่วนมากก็จะมีอนุสาวรีย์อยู่กลางวงเวียนนั้น หรือบางแห่งอาจไม่มีอนุสาวรีย์ แต่ก็มีความเป็นมาที่น่าสนใจไม่น้อย มาเริ่มกันที่วงเวียนแห่งแรกที่ "วงเวียนใหญ่" ศูนย์กลางที่สำคัญในย่านฝั่งธนฯ โดยบริเวณกลางวงเวียนใหญ่เป็นที่ตั้งของพระบรมราชานุสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี 2496 หรือในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม พระบรมราชานุสาวรีย์นี้เป็นที่เคารพนับถือของทั้งชาวฝั่งธนบุรีและคน ทั่วไป ลักษณะของอนุสาวรีย์เป็นพระรูปของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเครื่อง กษัตริย์และทรงพระมาลา ประทับอยู่บนหลังม้า หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้สู่จังหวัดจันทบุรี พระหัตถ์ขวาทรงพระแสงดาบชูออกไปเหนือพระเศียร พระหัตถ์ซ้ายทรงบังเหียนม้าในลักษณะนำเหล่าทหารรุกไล่ข้าศึก ทุกวันที่ 28 ธันวาคมของทุกปี จะมีพิธีถวายบังคมพระบรมราชาอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และมีพิธีบวงสรวงดวงพระวิญญาณของพระองค์ เนื่องจากในวันนี้เป็นวันที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช กอบกู้เอกราชชาติไทยกลับคืนหลังจากการเสียกรุงครั้งที่สอง ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงธนบุรี |
||||
|
||||
บริเวณรอบๆวงเวียนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมินั้นนอกจากจะพลุกพล่านไปด้วย ยานพาหนะนานาชนิดบนถนนแล้ว ความพลุกพล่านของผู้คนก็มากมายไม่แพ้กัน เพราะที่นี่ถือเป็นชุมทางการคมนาคมที่สำคัญแห่งหนึ่ง มีทั้งรถประจำทาง รถไฟฟ้า รวมทั้งรถตู้โดยสารหลายเส้นทางคอยให้บริการอยู่ อีกทั้งยังเป็นแหล่งช้อปปิ้งขนาดใหญ่ในช่วงเย็นๆ ของแต่ละวันอีกด้วย |
||||
ฉันว่าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนี้น่าจะเป็นอนุสาวรีย์ที่ถูกทาสีบ่อย ที่สุดแห่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสีเหลืองเข้ม เหลืองอ่อน เหลืองซีด หรือเหลืองส้ม ก็เคยผ่านมาหมดแล้ว แม้จะเปลี่ยนสีไปบ่อยๆ แต่รูปร่างลักษณะของอนุสาวรีย์ก็ยังคงเดิมคือมีลักษณะเป็นรูปหล่อลอยตัว ตรงกลางเป็นรูปเล่มรัฐธรรมนูญในสมุดไทยประดิษฐานบนพานแว่นฟ้า ล้อมรอบด้วยแท่งปูน 4 แท่ง ลักษณะคล้ายปีกอยู่ทั้ง 4 ทิศ อีกทั้งรอบอนุสาวรีย์ยังมีปืนใหญ่โบราณจำนวน 75 กระบอก ฝังดินไว้ โผล่ท้ายกระบอกปืนใหญ่ขึ้นมาเป็นเสาคล้องโซ่เชื่อมต่อกันเป็นรั้ว และความสำคัญอีกอย่างหนึ่งของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนั้นก็คือ ที่นี่ยังเป็นหลักกิโลเมตรที่ 0 ของเมืองไทย ที่ใช้วัดระยะทางไปยังจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศอีกด้วย |
||||
บริเวณกลางวงเวียนหลักสี่นี้มี "อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ" ตั้งอยู่ ไม่ว่าจะเป็นวงเวียนหรือเป็นสี่แยก อนุสาวรีย์นี้ก็ไม่ได้ถูกทำลายหรือเคลื่อนย้ายไป โดยที่มาของอนุสาวรีย์นี้ก็มาจากเหตุการณ์กบฏบวรเดช ซึ่งหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 แล้ว ก็มีผู้ที่ไม่เห็นด้วยในการกระทำนั้น และได้รวมกลุ่มกันต่อต้านโดยมีพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดชเป็นผู้นำกองทัพมาปะทะกันที่บางเขน จนเมื่อฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้ชนะ โดยมีทหารฝ่ายรัฐบาลเสีย ชีวิตลง 17 นาย จึงได้มีการสร้างอนุสาวรีย์ขึ้นเพื่อเป็นการสดุดีวีรกรรมและบรรจุอัฐิของผู้ เสียชีวิตไว้ โดยลักษณะของอนุสาวรีย์นั้นก็เป็นแท่งเสาสูงยอดเรียว บนยอดมีพานรองรัฐธรรมนูญลักษณะเดียวกันกับพานรัฐธรรมนูญที่อนุสาวรีย์ ประชาธิปไตย ฐานด้านล่างด้านหนึ่งจารึกชื่อผู้ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์กบฏบวรเดช โคลงสยามานุสติ และรูปครอบครัวชาวนา มีผู้ชายถือเคียวเกี่ยวข้าว ผู้หญิงถือรวงข้าว และเด็กถือเชือก |
||||
แต่ปัจจุบันนี้วงเวียนโอเดียนดูโดดเด่นเป็นสง่ากว่าเดิม เพราะเป็นที่ตั้งของซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา ที่ชาวไทยเชื้อสายจีน บริษัท ห้างร้าน หน่วยงานราชการและประชนชนได้ร่วมใจกันจัดสร้างซุ้มประตูแห่งนี้ขึ้นเพื่อ ถวายเป็นราชสดุดีแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ ในปี พ.ศ.2542 เนื่องจากตั้งอยู่ในบริเวณที่เรียกว่าเป็น "ไชน่าทาวน์" ซุ้มประตูแห่งนี้จึงมีความงดงามด้านสถาปัตยกรรมและประติมากรรมแบบจีน และกลายเป็นสัญลักษณ์ของไชน่าทาวน์เยาวราชไปในที่สุด |
||||
ขอเฉลยแก้ความสงสัยให้ด้วยการเล่าความเป็นมาให้ฟังว่า ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แต่เดิมที่ซึ่งเป็นวงเวียนนี้เคยเป็นชุมชนที่มีคนอยู่อาศัยหนาแน่น และเคยเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ ต่อมาจึงได้มีการตัดถนนขึ้น 3 สายเพื่อความเป็นระเบียบของบ้านเมืองบริเวณนี้ และบริเวณจุดตัดของถนนนั้นก็ได้สร้างเป็นวงเวียนขึ้น รัชกาลที่ 6 ทรงพระราชทานนามให้ถนนทั้ง 3 สายนั้นว่า 22 กรกฎาคม ซึ่งก็หมายถึงวันที่พระองค์ทรงตัดสินพระทัยนำประเทศไทยเข้าร่วมสงครามโลก ครั้งที่ 1 เมื่อปี พ.ศ.2460 โดยประกาศสงครามกับกลุ่มประเทศฝ่ายอักษะ ส่งผลให้เมื่อสิ้นสุดสงคราม ประเทศไทยได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศ และการทหาร รวมทั้งสามารถเรียกร้องแก้ไขและยกเลิกสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ของชาติมหาอำนาจที่เคยทำไว้กับประเทศไทย และต่อมาจึงได้พระราชทานชื่อถนนทั้งสามให้ใหม่เพื่อไม่ให้เป็น การสับสน โดยมีชื่อคล้องจองกันว่า ถนนไมตรีจิตต์ ถนนมิตรสัมพันธ์ และถนนสันติภาพ ส่วนชื่อวงเวียนนั้นให้คงชื่อไว้เช่นเดิมว่า "วงเวียน 22 กรกฎาคม" จนถึงปัจจุบัน |