จาก โพสต์ทูเดย์
รายงานโดย :ภคินี เทียมคลี:
นับจากวิกฤตความขัดแย้งทางการเมืองของไทย ตั้งแต่ปลายปี 2551 ระอุร้อนมาอย่างต่อเนื่องจนถึงวิกฤตเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ยังไม่นับรวมวิกฤตเศรษฐกิจการเงินสหรัฐอเมริกาล่มสลาย แพร่กระจายส่งผลกระทบต่อแวดวงธุรกิจโดยรวม โดยเฉพาะธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็นเส้นเลือดหลัก ได้รับผลกระทบอย่างหนัก
ทั้งนี้ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย (สทท.) ได้ประเมินสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยในปี 2552 พบว่าในช่วงไตรมาสแรก ตัวเลขนักท่องเที่ยวติดลบ 25% ขณะที่ไตรมาส 2 ปีนี้ คาดติดลบสูงขึ้น 40% ส่วนสถานการณ์ในไตรมาส 3 ติดลบ 30% และอาจจะฟื้นตัวเป็นบวก 10% ได้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ทำให้คาดว่ารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศในปีนี้จะมีมูลค่า 3.5 แสนล้านบาท ลดลง 35% จากมูลค่า 5.4 แสนล้านบาทของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้กลุ่มธุรกิจให้บริการท่องเที่ยวเองก็มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง ดังนั้นแม้ตัวเลขเม็ดเงินจะติดลบ แต่ในแง่ผู้ประกอบการเองไม่หยุดนิ่ง ต่างเร่งปรับตัวตลาดขาลง ขณะเดียวกันก็เตรียมพร้อมรับกับตลาดขาขึ้นในอนาคตเช่นกัน
ด้วยการมองหาโอกาส ฉีกหนีจากการแข่งขัน โดยนำธงรบใหม่ คือเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เสริมทัพ นอกเหนือจากการให้บริการทั่วไป เนื่องจากเล็งเห็นว่าไอทีกำลังเป็นเครื่องมือการตลาดที่มาช่วยกำหนดกลยุทธ์ เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง
จี ฮุง แทน ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด โรงแรมเลอเมอริเดียน กรุงเทพฯ กล่าวว่า โรงแรมเลอเมอริเดียนที่ตั้งอยู่บนย่านธุรกิจเก่าแก่ของกรุงเทพฯ ตรงถนนสุรวงศ์ บนอาคารสไตล์โมเดิร์น ความสูง 24 ชั้น มีจำนวนห้องพัก 282 ห้อง ในจำนวนนี้เป็นห้องสวีต 32 ห้อง ถือเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวแห่งแรกในประเทศไทย ที่ยกระดับการให้บริการโรงแรมด้วยระบบไอที ด้วยการลงทุนกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 6,800 ล้านบาท
เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการสู่แบบวันสต็อปเซอร์วิส สร้างความประทับใจแก่ลูกค้าผู้ใช้บริการ และจากที่โรงแรม ได้ลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระบบเครือข่าย เพื่อใช้สำหรับการดำเนินธุรกิจ และการให้บริการแขก ผู้มาพัก ด้วยการนำอุปกรณ์เครือข่ายที่มีความเร็วระดับ กิกะบิต ได้ช่วยให้โรงแรมสามารถให้บริการแอพพลิเคชันทางด้านไอที ระบบไอพีโฟน และไอพีทีวี รวมถึงระบบอินเทอร์เน็ตทั้งแบบมีสาย (ไวร์) และไร้สาย (ไวร์เลสอินเทอร์เน็ต) สำหรับการส่งข้อมูล ภาพ เสียงได้สมบูรณ์แบบ
“เลอเมอริเดียนถือเป็นการโรงแรมที่ผสานรวมระหว่าง เทคโนโลยีและศิลปะเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างประสบการณ์ในรูปแบบที่แตกต่าง เหมาะกับลูกค้ากลุ่มครีเอทีฟ ชิก ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรสนิยม มุมมองเปิดกว้างพร้อมรับสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กล่าว
ทั้งนี้ ทางโรงแรมเลอเมอริเดียนเองก็เล็งเห็นว่าไอทีถือเป็นอีกไลฟ์สไตล์หนึ่งที่สอด รับกับสังคมสมัยใหม่ ที่ต้องการความสะดวกสบาย และรวดเร็ว ทางโรงแรมจึงมองว่าโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ สามารถเข้ามาช่วยเพิ่มศักยภาพการให้บริการแก่ผู้เข้าพัก หรือมาใช้บริการ ขณะเดียวกันก็สามารถสนับสนุนการทำงานของพนักงาน และการบริหารจัดการด้วย
ดังนั้น ทางโรงแรมจึงเลือกระบบวันทัช ไอพีโฟนของซิสโก้มาเสริม เพื่อใช้บริหารจัดการภายในโรงแรม และให้บริการแก่ลูกค้า ตั้งแต่การเช็กอิน ในห้องพัก ระบบการติดต่อสื่อสาร การใช้บริการโทรศัพท์ทางไกล หรือการฝากข้อความเสียงด้วยระบบไอพีโฟน
นอกจากนี้ โรงแรมยังได้พัฒนาโปรแกรมประยุกต์ หรือแอพพลิเคชัน เพื่อใช้กับไอพีโฟน เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้เข้าพัก ได้เข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และบริการต่างๆ ของโรงแรมได้จากโทรศัพท์ไอพีโฟน ไม่ว่าจะเป็นข้อความเสียง บริการส่งข้อความสั้น (เอสเอ็มเอส) การประชุมทางไกล การตั้งคำสั่งห้ามรบกวน การตรวจสอบสภาวะอากาศในเมืองต่างๆ
รวมถึงข้อมูลตารางการบินของสายการบิน โปรโมชันโรงแรม หมายเลขโทรศัพท์สถานที่สำคัญ สถานทูตโดยไม่ต้องอาศัยสมุดโทรศัพท์ โดยบริการทั้งหมดทางโรงแรมได้จัดทำ เมนูให้เลือกถึง 5 ภาษา ได้แก่ อังกฤษ ญี่ปุ่น ภาษาจีนแมนดาริน อิตาลี และฝรั่งเศส พร้อมกันนี้ผู้เข้าพักสามารถใช้บริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไร้สาย ไว-ไฟ กว่า 150 จุด ทั่วโรงแรม
นอกจากนี้ ทางโรงแรมยังมีแผนพัฒนาต่อยอดบริการส่งข้อความเอสเอ็มเอสในอนาคตให้สามารถ ส่งข้อความจากโรงแรมไปสู่ผู้ใช้บริการมือถือทุกระบบทั้งในประเทศและต่าง ประเทศ จากเดิมที่ลูกค้าสามารถใช้ส่ง เอสเอ็มเอสได้เฉพาะบนไอพีโฟนภายในโรงแรมเท่านั้น โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเร็วๆ นี้
วัตสัน ถิรภัทรพงศ์ ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มธุรกิจพาณิชย์ บริษัท ซิสโก้ ซีสเต็มส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า นอกจากการนำระบบวันทัช ไอโฟนมาใช้แล้ว แนวคิดการพัฒนาโรงแรมเลอเมอริเดียน กรุงเทพฯ ให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น ในรูปแบบคอนเน็คเต็ด โฮเทล ด้วยการนำเทคโนโลยียูนิฟายด์ คอมมูนิเคชัน ซึ่งเป็นระบบรวมศูนย์การติดต่อสื่อสารภายในโรงแรมมาใช้ควบคู่กัน ซึ่งประกอบด้วย สวิตช์ เครื่องแม่ข่าย อุปกรณ์เครือข่ายไร้สาย (ไวร์เลสแอคเซสพอยต์) ระบบความปลอดภัยด้านการสื่อสาร รวมถึงหัวเครื่องโทรศัพท์ไอพีโฟน และไวร์เลสไอพีโฟน รวมกว่า 1,000 เครื่อง คิดเป็นมูลค่าราว 10 ล้านบาท เพื่อรองรับทั้งผู้เข้าพัก และพนักงานทั้งหมดของโรงแรม
“เลอเมอริเดียนเป็นโรงแรมแห่งแรกในไทย ที่สามารถเปลี่ยนมุมมองของการให้บริการโรงแรมแบบเดิมๆ ให้เป็นสถานที่ที่อำนวยความสะดวกได้ด้วยระบบไอที” วัตสัน กล่าว
สำหรับแนวโน้มการนำระบบไอพีโฟนไปใช้กับธุรกิจในประเทศไทยนั้น ซิสโก้มองว่ายังเป็นแค่จุดเริ่มต้น ปัจจุบันการใช้ระบบโทรศัพท์สื่อสารในองค์กรนั้น ยังเป็นแบบอะนาล็อกอยู่ถึง 90% ต่างจากตลาดในต่างประเทศมีการนำระบบไอพีโฟนไปใช้อย่างกว้างขวาง ทั้งนี้เมืองไทยเองการจะปรับเปลี่ยนสู่ไอพีนั้นค่อนข้างต้องใช้เวลา โดยมองว่าอัตราการเติบโตนับจากนี้คงเป็นไปในแบบก้าวกระโดด
ทั้งนี้ เชื่อว่ากลุ่มธุรกิจองค์กรขนาดใหญ่ รวมถึงบริษัทข้ามชาติ กลุ่มธุรกิจให้บริการ เช่น โรงพยาบาล โรงแรม อาคารสำนักงาน และอาคารชุดต่างๆ ยังมีการลงทุนระบบไอทีไปใช้อย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาตลาดจะทรงๆ ตัว ขณะที่ไตรมาส 2 เองก็ ไม่ได้ดิ่งลงอย่างที่คิด กลับมองเห็นสัญญาณ ที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ ซิสโก้เองก็มีแผนจะพัฒนาเครื่องไอพีโฟนที่มาพร้อมกับคุณสมบัติ ใหม่ที่เหมาะสมกับการใช้งานของกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) ที่มีจำนวนพนักงาน 50 คนขึ้นไป โดยจะร่วมมือกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) ในเมืองไทยจัดทำแพ็กเกจสำหรับกลุ่มดังกล่าว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแผนการตลาดที่ซิสโก้พยายามจะผลักดันตลาดไอพีโฟนให้ครอบคลุม กลุ่มตลาดมากยิ่งขึ้น และยังเป็นกลุ่มที่จะมาช่วยทดแทนรายได้จากกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่ที่มีแนวโน้ม โตคงที่
ทั้งนี้ ยังไม่รวมกับแผนงานที่ซิสโก้ต้องการจะเป็นผู้กำหนดเกมการตลาด ด้วยการสร้างมาตรฐานเครือข่ายอินเทอร์เน็ตให้เข้าไปสู่ในแวดวงของโลก เทคโนโลยีโดยรวม ไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก รวมถึงผู้ให้บริการข้อมูล สื่อ มีเดีย รวมแล้วกว่า 30 กลุ่มตลาดในเมืองไทย โดยจะ เริ่มเห็นมิตินี้ได้ในปีงบประมาณของซิสโก้ ในปี 2553 นี้