จาก ประชาชาติธุรกิจ
สภา อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้จัดทำรายงาน อุปสรรคปัญหาและข้อเสนอแนะทางด้านมาตรการภาษีอากรของภาคอุตสาหกรรม เสนอต่อ นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี้ โดยรายงานฉบับดังกล่าวมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้
การแก้ไขกฎหมาย กฎระเบียบล้าสมัย
โดย ในปีงบประมาณ 2551-2552 หน่วยงานภายใต้กำกับของกระทรวงการคลัง ได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย โดยให้ ภาคเอกชนเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการพัฒนากฎหมายของหน่วยงาน อาทิ กรมสรรพสามิต, กรมศุลกากร และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง แต่การดำเนินการที่ผ่านมาเป็นการแก้ไขกฎหมายเฉพาะที่เป็นอุปสรรคต่อการ ดำเนินงานของส่วนราชการ หรือที่ต้องปฏิบัติตามพันธกรณีข้อตกลงระหว่างประเทศ ไม่ได้ดำเนินการครอบคลุมทั้งฉบับ รวมทั้งไม่เน้นการแก้ไขปัญหาของการประกอบธุรกิจ
กฎหมายศุลกากรที่ บังคับใช้มายาวนานกว่า 80 ปี ตั้งแต่ปี 2469, กฎหมายภาษีสรรพสามิต มีการแก้ไขการถ่ายโอนภารกิจด้านการออกใบอนุญาตขายสุราและยาสูบให้กับองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น ในขณะที่ประเด็นข้อเสนอของภาคเอกชนไม่ได้รับการพิจารณา, ประมวลรัษฎากรที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีบางส่วนที่ล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับ สภาพการณ์ปัจจุบัน ควรที่จะมีการศึกษาแก้ไขโครงสร้างภาษีเงินได้ทั้งระบบ และร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ.... มีการดำเนินการยกร่างมากว่า 10 ปีก็ไม่สำเร็จ สิ่งเหล่านี้ภาคเอกชนอยากให้กระทรวงการคลังดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
อุปสรรคการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของ BOI
กรณีการ คำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลของผู้ประกอบการที่ได้รับสิทธิ ประโยชน์ตามบัตรส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน จากกรณีที่ผู้ประกอบการ 1 ราย ได้รับการส่งเสริมการลงทุนหลายโครงการ (หลายบัตร) หากในระยะเวลาบัญชีเดียวกัน บางโครงการมีกำไร บางโครงการขาดทุน แต่กรมสรรพากรมีแนววินิจฉัยให้นำผลการดำเนินงานของทุกโครงการมาหักกลบกัน ก่อน เสมือนหนึ่งเป็นโครงการเดียวกัน ซึ่งมีผลทำให้ผลขาดทุนของบางโครงการไม่สามารถยกมาใช้ประโยชน์ในทางภาษีได้ หลังสิ้นสุดระยะเวลาได้รับสิทธิ "ยกเว้น" ภาษีเงินได้
ต่อมา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้มีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ขอให้วินิจฉัยกรณีการตีความของกรมสรรพากร ข้างต้นที่แตกต่างไปจากหลักเกณฑ์การคำนวณผลขาดทุนประจำปีของ BOI ปรากฏคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นตามแนวทางของ BOI จึงขอให้กรมสรรพากรแก้ไขตาม
คณะกรรมการกฤษฎีกาได้วินิจฉัยไว้
ปัญหาการตีความการใช้ผลขาดทุนสะสม
สภา อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้รับการร้องเรียนจากสมาชิก กรณีการนำผลขาดทุนประจำปีที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา "ยกเว้น" ภาษีเงินได้ไปหักจากกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นภายหลังระยะเวลาที่ได้รับสิทธิ "ยกเว้น" ภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิเป็นเวลา 8 ปี และสิทธิลดหย่อนอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 จากอัตราปกติเป็นเวลา 5 ปี นับจากวันพ้นกำหนดระยะเวลาได้รับการ "ยกเว้น" ภาษีเงินได้นิติบุคคล ไปหักออกจากกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นภายหลังระยะเวลาได้รับ "ยกเว้น" ภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลาไม่เกิน 5 ปี
ปรากฏผู้ประกอบการมีผล ประกอบการขาดทุนเกิดขึ้นทั้งในช่วง "ยกเว้น" และช่วงลดหย่อนภาษี ผู้ประกอบการจึงได้นำผลขาดทุน ในช่วงที่ได้รับการ "ยกเว้น" ภาษีมาใช้ก่อนผลขาดทุนในช่วงลดหย่อนภาษี
แต่แนวทางวินิจฉัยของกรม สรรพากรมีความเห็นว่า การคำนวณภาษีในช่วงที่ได้รับการลดหย่อนภาษีต้องใช้ผลการขาดทุนในช่วง ลดหย่อนภาษีก่อนที่จะใช้ผลขาดทุนในช่วง "ยกเว้น" ภาษีกรมสรรพากรจึงได้ประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคล เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ผู้ประกอบการต้อง การให้นำผลขาดทุนประจำปีสะสมในระยะเวลาได้รับการ "ยกเว้น" ภาษีเงินได้นิติบุคคลซึ่งเกิดขึ้นก่อนมาหักกับกำไรสุทธิที่ได้เกิดขึ้นภาย หลังการพ้นระยะได้รับการ "ยกเว้น" ภาษีเงินได้นิติบุคคลมีกำหนดระยะเวลาไม่เกิน 5 ปีในลำดับแรกก่อน และหากในช่วงการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 จากอัตราภาษีปกติมีผลขาดทุนอีก ให้ผู้ประกอบการสามารถนำผลขาดทุนประจำปีในช่วงเวลาดังกล่าวมาใช้ได้อีกภายใน 5 ปี นับจากวันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีของปีที่ขาดทุนนั้น จึงขอให้กรมสรรพากรพิจารณาทบทวนตามแนวทางที่ผู้ประกอบการเสนอมาด้วย
การยกเว้นภาษีสรรพสามิตกรณีการส่งออกสินค้า
กรม สรรพสามิตได้ออกกฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการ "ยกเว้น" ภาษีสำหรับสินค้าที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบ หรือส่วนประกอบในการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก โดยกำหนดให้ผลิตภัณฑ์ที่จะได้รับการ "ยกเว้น" ภาษีสรรพสามิตวัตถุดิบ หรือส่วนประกอบของสินค้าที่ส่งออก จะต้องเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตเท่านั้น
ส่ง ผลให้ไม่ครอบคลุมสินค้าส่งออกทุกรายการ รวมทั้งในทางปฏิบัติมีความยุ่งยากมาก หากผู้ประกอบการดำเนินการไม่ครบถ้วนตามขั้นตอนที่กำหนดในกฎกระทรวง จะไม่ได้รับการ "ยกเว้น" หรือขอคืนภาษีสรรพสามิตของวัตถุดิบ หรือส่วนประกอบ ทั้งนี้สินค้า ส่งออกที่ไม่อยู่ในรายการที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตที่ยังไม่สามารถขอคืนภาษี สรรพสามิตที่แฝงอยู่ในวัตถุดิบ หรือส่วนประกอบ และเป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าส่งออกที่มีรีโมตคอนโทรล ปรากฏมีแบตเตอรี่ที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต แต่ไม่สามารถขอคืนภาษีสรรพสามิตได้
สภาอุตสาหกรรมฯจึงขอให้กรมสรรพ สามิตพิจารณาให้ผู้ส่งออกสินค้าทุกรายการที่มีภาระภาษีสรรพสามิตได้รับการ "ยกเว้น" ภาษีสรรพสามิต และขอให้ผู้ประกอบการขอ "ยกเว้น" ภาษีสรรพสามิตของวัตถุดิบ หรือส่วนประกอบได้ตั้งแต่ต้นทาง
มาตรการเงินชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าส่งออกที่ผลิตในราชอาณาจักร (ชดเชยมุมน้ำเงิน)
มาตรการ ชดเชยมุมน้ำเงินถูกใช้เป็นมาตรการคืนภาษีให้แก่สินค้าส่งออกทั่วไป มีความเหมาะสมกับสินค้าที่ใช้วัตถุดิบที่มีกระบวนการผลิตในประเทศเป็นส่วน ใหญ่ แต่ยังคงมีภาระภาษีแฝงจากการนำเข้าวัตถุดิบบางรายการ หรือภาระภาษีแฝงอยู่ในวัตถุดิบที่ผลิตภายในประเทศ ดังนั้นการจ่ายเงินชดเชยมุมน้ำเงินจึงจำเป็นต้องมีอยู่ ตราบเท่าที่ประเทศไทยยังไม่สามารถผลิตวัตถุดิบได้ทั้งหมด
ที่ผ่านมานโยบายของรัฐบาลให้การสนับสนุน SMEs รายใหม่ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ SMEs ส่วนใหญ่ไม่สามารถนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศโดยตรงได้ ทำให้ SMEs ไม่สามารถขอใช้สิทธิตามมาตรา 19 ทวิ หรือขอใช้สิทธิตามมาตรา 36(1)(2) ได้ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องพึ่งพาการจ่ายเงินชดเชยมุมน้ำเงิน แต่ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังกลับมีนโยบายที่จะ "ยกเลิก" การจ่ายเงินชดเชยมุมน้ำเงิน โดยให้เหตุผลว่า นโยบายดังกล่าวขัดกับความตกลง WTO มีปัญหาความล่าช้า และการทุจริต
สภาอุตสาหกรรมฯมีความเห็นว่า การจ่ายเงินชดเชยมุมน้ำเงินเป็นการคืนภาระภาษีเพียงบางส่วนที่แฝงอยู่ใน สินค้าส่งออก จึงไม่ใช่การให้เงินอุดหนุนจากภาครัฐอย่างที่กระทรวงการคลังกังวล แต่เป็นการคืนภาษีเพียงบางส่วนซึ่งรัฐได้เก็บจากภาษีวัตถุดิบจากผู้ประกอบ การในขณะนำเข้า ดังนั้นการจ่ายเงินชดเชยมุมน้ำเงินจึงเป็นการส่งเสริมให้มีการพัฒนา อุตสาหกรรม SMEs รวมทั้งอุตสาหกรรมสนับสนุน (supporting industries)
ดัง นั้นสภาอุตสาหกรรมฯจึงเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาแก้ไขปัญหามุมน้ำเงิน ด้วยการตั้งคณะทำงานขึ้นมาจัดทำข้อมูลภาระภาษีแฝงร่วมกับภาคเอกชน ทั้งนี้โดยใช้ข้อมูลสูตรการผลิตที่อุตสาหกรรมต่างๆ ยื่นต่อกรมศุลกากร โดยเลือกอุตสาหกรรมที่มีการขอเงินชดเชยสูงและเป็นสินค้าส่งออกหลัก
การกำหนดราคาเพื่อใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษี
สามารถ แบ่งการพิจารณาออกเป็น 2 ประเด็น คือ 1)ฐานภาษี กรมสรรพสามิตกำหนดให้ใช้ราคาขาย ณ โรงงานอุตสาหกรรม แม้จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมให้มีความหมายว่า ราคาที่ขายหรือพึงขายออกจากโรงงานที่แท้จริง ซึ่งเป็นราคาตามปกติในทางธุรกิจโดยสุจริตและเปิดเผยก็ตาม แต่ก็ยังเป็นประเด็นว่า เมื่อมีการปฏิบัติจริงแล้วจะทำให้เกิดความชัดเจนมากขึ้นหรือไม่ และสามารถแก้ไขปัญหาได้จริงหรือไม่ จึงควรพิจารณาหาวิธีการคำนวณภาษีที่ง่ายกว่า อาทิ กรณีการคำนวณตามแบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพื่อให้กรมสรรพสามิตพิจารณาเป็นทางเลือกใหม่ โดยไม่จำกัดเฉพาะวิธีการ ใช้ราคาขาย ณ โรงงานอุตสาหกรรม
2)อัตราภาษีสรรพสามิต ปัจจุบันคำนวณจากอัตราตามปริมาณและอัตราตามมูลค่า แล้วแต่อัตราใดจะสูงกว่าให้จัดเก็บตามอัตรานั้น ซึ่งในทางปฏิบัติเมื่อคำนวณแล้ว สินค้าส่วนใหญ่จะถูกจัดเก็บภาษีตามอัตรามูลค่า เนื่องจากอัตราตามปริมาณต่ำมาก สินค้าที่จะต้องเสียภาษีสรรพสามิตส่วนมากจึงมิได้ใช้อัตราตามเกณฑ์ปริมาณ อาทิ สินค้าเครื่องดื่ม และยังพบอีกด้วยว่ามีช่องว่างระหว่างอัตราตามปริมาณกับอัตราตามมูลค่า เมื่อคำนวณภาษีสรรพสามิตแล้ว ห่างกันมาก จึงขอให้มีการพิจารณาแก้ไขปัญหาการกำหนดราคา เพื่อใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีสรรพสามิต เพื่อให้เกิดความ เป็นธรรมกับผู้ประกอบการด้วย