จาก ประชาชาติธุรกิจ
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยส่งผลให้ดีลควบรวมกิจการ (M&A) ต้องมีอันชะลอตัวตามไปด้วย หลังจากขยายตัวอย่างร้อนแรงมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
"นิวยอร์ก ไทม์ส" รายงานว่า ถึงตอนนี้เริ่มมีสัญญาณว่าดีล M&A น่าจะเริ่มฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งในระยะอันใกล้นี้ เพียงแต่เป้าหมายของการช็อปปิ้งจะเปลี่ยนจากธุรกิจขนาดใหญ่ มาเป็นธุรกิจขนาดกลาง หรือบริษัทที่มีรายได้ระหว่าง 1-500 ล้านดอลลาร์ต่อปี ที่มีจำนวนราว 1.2 ล้านรายในสหรัฐ มีรายได้ต่อปีราว 8.8 ล้านล้านดอลลาร์ และมีมูลค่าตลาดประมาณ 4.4 ล้านล้านดอลลาร์
"เดนนิส เจ. โรเบิร์ตส" ประธานบริษัทแมคลีน กรุ๊ป ซึ่งเชี่ยวชาญดีลซื้อขายธุรกิจขนาดกลาง คาดการณ์ว่า ดีลควบรวมธุรกิจจะกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งภายใน ช่วง 6 เดือนข้างหน้า ถึง 1 ปี เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มกระเตื้องและวัฏจักรของดีล M&A ในธุรกิจขนาดกลางที่จะเริ่มพ้นจากภาวะหดตัว
โรเบิร์ตสยังมองว่า การฟื้นคืนชีพของดีลขนาดกลางจะได้รับการผลักดันจากเทรนด์ทั้ง 4 ได้แก่ การลดลงของจำนวนเจ้าของธุรกิจรุ่นเบบี้บูม ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ผลักดันการผนึกกำลังของบริษัทในตลาด ความกระหายที่จะเติบโต ในระยะยาวของบริษัทต่างชาติที่เข้ามาซื้อบริษัทอเมริกัน และการสะสมเงินสด ของกลุ่มไพรเวตอีควิตี้ ที่มีอยู่ถึง 4,000-8,000 ราย
โดยสิ่งเหล่า นี้จะส่งผลต่อความต้องการของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ซึ่งบริษัทขนาดกลางเหล่านี้มีสัดส่วนราว 2 ใน 3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GNP)
ด้าน "แฮร์โรลด์ เอส. แบรดลีย์" ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายลงทุนของศูนย์วิจัย อีวิ่ง มาเรียน คอฟฟ์แมน ฟาวน์เดชั่น กล่าวว่า ธุรกิจขนาดกลางเป็นสิ่งที่ผู้คนต้องการเมื่อนึกถึงการลงทุนในระยะยาว และโดยทั่วไปองค์กรจำนวนมากก็มักตั้ง งบประมาณ 50-60% สำหรับใช้ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องน้อย อาทิ การเข้าซื้อหุ้นที่มีสิทธิควบคุมการบริหาร หรือการร่วมทุน
อย่างไรก็ ตาม เวลานี้ไม่ใช่ช่วงที่บริษัทจะสามารถปั๊มเงินได้ง่ายเหมือนในยุคบูมทาง เศรษฐกิจ เพราะทุกบริษัทต่างก็อยู่ในห้วงเวลาที่ย่ำแย่เหมือนๆ กัน ขณะที่ การเข้มงวดเรื่องวีซ่าของสหรัฐก็ส่งผลต่อกิจกรรม M&A เพราะบริษัทต่างชาติจะ เข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ของอเมริกาได้ยากลำบากมากขึ้น
โรเบิร์ตสก ล่าวด้วยว่า คนยุคเบบี้บูมจะ มีส่วนผลักดันเทรนด์ M&A ให้บูมขึ้นมาได้ เพราะในบรรดาธุรกิจขนาดกลางราว 1.2 ล้านราย มีบริษัทกว่า 800,000 แห่ง ที่เจ้าของเกิดในระหว่างปี 2489-2507 ซึ่ง มีมูลค่าตลาดรวมกันประมาณ 3 ล้านล้านดอลลาร์ และมีความเป็นไปได้ที่คนเหล่านี้จะขายกิจการ หรือยอมถอยออกจากอาณาจักรธุรกิจของตัวเอง รวมถึงปิดบริษัทและยกกิจการให้คนอื่นๆ ประมาณ 560,000 บริษัท ซึ่งมีมูลค่ารวมกันราว 2.5 ล้านล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม "โรเบิร์ตส" ซึ่งเขียนหนังสือเรื่อง "Mergers & Acquisitions" เตือนว่า อันตรายคือ การที่เจ้าของธุรกิจขายกิจการก่อนเวลาอันควร ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ดังกล่าว บริษัทควรจะจ้างผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินผลดีและผลเสียในการทำดีล แม้บริษัทจะยังไม่ได้ตั้งใจจะขายธุรกิจก็ตาม เพราะการกระทำดังกล่าวอาจจะเพิ่มมูลค่าให้แก่ธุรกิจและทำให้ได้เงินเข้า กระเป๋ามากขึ้น หากคิดอยากขายกิจการขึ้นมาจริงๆ
ด้าน "พาร์เนล แบล็ก" ประธานบริหารของเนชั่นแนล แอสโซซิเอชั่น ออฟ เซอร์ทิไฟด์ แวลูเอชั่น อะนาลิสต์ แนะว่า เจ้าของธุรกิจจะต้องบริหารให้บริษัทมี ประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้รับเงินก้อนงาม เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม