วอร์เรน บัฟเฟตต์

“การอัดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อเยียวยาภาคการเงินยังคงดำเนินไปอย่างต่อ เนื่อง แต่ทว่าเราเองก็จำเป็นที่จะต้องจัดการกับผลข้างเคียงของมันด้วย แม้ว่าขณะนี้จะยังมองไม่เห็น และเป็นเพียงปัญหาแฝงอยู่ ก็ตาม” บัฟเฟตต์ กล่าว

ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ทุ่มเงินมหาศาลมากกว่า 7.87 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อใช้กระตุ้นทั้งภาคธุรกิจ และกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค ตลอดไปจนถึงการขยายนโยบายการตัดลดภาษี และการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอย่าง หนักหน่วง

นอกจากนั้น กระทรวงการคลังสหรัฐ และธนาคารกลาง ยังใช้งบประมาณอีกหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ ผ่านโครงการช่วยเหลือสถาบันการเงิน และระบบธนาคารที่ประสบวิกฤตอย่างมหาศาลเช่นกัน

ทั้งนี้ ผลจากการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างบ้าคลั่งดังกล่าว ได้ทำให้ขณะนี้รัฐบาลสหรัฐกำลังประสบภาวะขาดดุลงบประมาณอย่างรุนแรง โดยคาดว่าเมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณการเงินปี 2552 ในวันที่ 30 ก.ย. รัฐบาลสหรัฐจะขาดดุลงบประมาณทะลุที่ 1.847 ล้านล้านเหรียญสหรัฐทีเดียว

บัฟเฟตต์ กล่าวด้วยว่า ภาระหนี้ของภาครัฐจะพุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 56% ของจีดีพี ทั้งประเทศ ซึ่งเมื่อไหร่ที่เศรษฐกิจสหรัฐกลับมาฟื้นตัวได้อย่างแน่นอนแล้ว รัฐบาลจะต้องหาทางยุติปัญหานี้ให้ได้ และจะต้องรักษาให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจเดินหน้าไปพร้อมๆ กับระดับของเงินคงคลังที่เพิ่มขึ้นด้วย

“การใช้จ่ายของรัฐบาลขณะนี้เกินกว่าเงินที่มีอยู่ถึง 185% ดังนั้นจำเป็นที่รัฐ จะต้องเร่งเปลี่ยนนโยบายการใช้จ่าย และนโยบายทางด้านภาษี เศรษฐกิจจะไม่สามารถกลับมาได้หากยังปล่อยให้มีช่องว่างของรายได้และหนี้อยู่ ” บัฟเฟตต์ กล่าว

นอกจากนั้น มหาเศรษฐีวัย 78 ปีผู้นี้ยังเตือนอีกว่า หากรัฐบาลยังไม่ไหวตัวกับภาวะปัญหาดังกล่าว ก็จะส่งผลกระทบต่อการซื้อขายของค่าเงินเหรียญสหรัฐอย่างแน่นอน

“อนาคตของเงินดอลลาร์ ขึ้นอยู่กับ สภาคองเกรสเท่านั้น”

ทั้งนี้ แปซิฟิก อินเวสต์เมนต์ เมเนจเมนต์ ซึ่งเป็นบริษัทกองทุนพันธบัตรรายใหญ่ของโลก ระบุในรายงานว่า เงินเหรียญสหรัฐจะอ่อนค่าหนักมากขึ้น หากสถานะเงินคงคลังของรัฐบาลติดลบต่อไป