จากประชาชาติธุรกิจ
เปิดผลสำรวจสำนักงานสถิติแห่งชาติ เรื่องความต้องการพัฒนาขีดความสามารถของคนไทย ปี 2552 คนไทย 8.8 ล้าน ตื่นตัว ระบุคนอีสานกระตือรือล้นมากที่สุด ตามติดด้วยคนใต้ เผยหลักสูตรสุดฮิต" ทำอาหาร เสริมสวย ตัดเย็บเสื้อผ้า"
นับจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ที่ให้ความสำคัญในการ พัฒนาบุคลากร โดยได้เน้นคนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา ซึ่งในการกำหนดยุทธศาสตร์และแผนงาน ของกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ โดยเฉพาะหน่วยงานหลัก สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงแรงงาน จำเป็นต้องมีข้อมูลประกอบการวางแผน ติดตาม และประเมินผล
ก่อนหน้านี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติ จึงได้จัดทำ การสำรวจความต้องการพัฒนาขีดความสามารถของประชากร ขึ้นเป็นครั้งแรกใน พ.ศ. 2538 และได้จัดทำต่อเนื่องมา เป็นประจำทุกปี ล่าสุด ผลสำรวจความต้องการพัฒนาขีดความสามารถของประชากร พ.ศ. 2552 เสร็จสมบูรณ์แล้ว
ผลการสำรวจปีล่าสุด ทำให้ทราบความต้องการพัฒนาขีดความสามารถของผู้อยู่ในกำลังแรงงาน และนอกกำลังแรงงาน หลักสูตรที่ต้องการได้รับการพัฒนาฯ ตลอดจนความต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐที่ผู้ว่างงาน ต้องการ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
@ คนไทย 8.8 ล้านต้องการพัฒนาขีดความสามารถ
ความ ต้องการพัฒนาขีดความสามรถของประชากรในปี 2552 มีทิศทางดังนี้ ในจำนวนประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไปประมาณ 52.6 ล้านคนนั้น มีผู้ต้องการพัฒนาขีดความสามารถ จำนวน 8.8 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 16.7 ของประชากรที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป โดยเป็นชายจำนวน 4.3 ล้านคน และหญิง 4.5 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 16.9 และร้อยละ 16.4 ตามลำดับ หากนำมาเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้านี้ พบว่า มีผู้ที่ต้องการพัฒนา ขีดความสามารถ เพิ่มขึ้น 6.0 แสนคน (จาก 8.2 ล้านคน เป็น 8.8 ล้านคน)โดยชาย เพิ่มขึ้น 2.0 แสนคน (จาก 4.1 ล้านคน เป็น 4.3 ล้านคน) และหญิงเพิ่มขึ้น 4.0 แสนคน (จาก 4.1 ล้านคน เป็น 4.5 ล้านคน @ คนว่างงานต้องการพัฒนาขีดความสามารถมากที่สุด
ใคร บ้างที่ต้องการพัฒนาขีดความสามารถ จากการสำรวจพบว่า ในจำนวนประชากรที่ต้องการพัฒนาขีดความสามารถ 8.8 ล้านคน ถ้าพิจารณาตามโครงสร้าง กำลังแรงงาน พบว่า ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานที่ต้องการพัฒนาขีดความสามารถ จำนวน 6.7 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 17.8 ของผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานทั้งหมด จำแนกเป็นผู้มีงานทำต้องการพัฒนาขีดความสามารถจำนวน 6.2 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 17.1 ของผู้มีงานทำทั้งหมด ส่วนผู้ว่างงานนั้นต้องการพัฒนาขีดความสามารถ จำนวน 4.0 แสนคน หรือคิดเป็นร้อยละ 50.7 ของผู้ว่างงานทั้งหมด ซึ่งเห็นได้ว่ามีสัดส่วนที่สูง
เนื่องจากผู้ว่างงานนั้นมีความต้องการที่จะพัฒนาขีดความสามารถของตนให้ มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อสามารถหาช่องทางอื่น ๆ ที่จะประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้ และผู้ที่รอฤดูกาลต้องการพัฒนาขีดความสามารถ 5.2 หมื่นคน คิดเป็นร้อยละ 20.9 ของผู้รอฤดูกาลทั้งหมด
สำหรับกลุ่มผู้อยู่นอกกำลังแรงงาน ส่วนใหญ่เป็นนักเรียน แม่บ้าน เป็นต้น มีจำนวนทั้งสิ้น 15.04 ล้านคน แต่มีผู้ที่ต้องการที่จะพัฒนาขีดความสามารถจำนวน 2.1 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 13.7 ของผู้ที่อยู่นอกกำลังแรงงานทั้งหมด
@ คนอีสาน แซงคนใต้ สนใจพัฒนาขีดความสามารถ
จาก การสำรวจ ประชากรในภาคใดบ้างที่มีความต้องการพัฒนาขีดความสามารถ พบว่า เมื่อพิจารณาถึงสัดส่วนของผู้ที่ต้องการพัฒนาฯ ต่อประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป ที่อยู่อาศัยในแต่ละภูมิภาค พบว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีสัดส่วนของผู้ที่ต้องการพัฒนาฯ มากที่สุดคือร้อยละ 24.5 รองลงมาเป็นภาคเหนือ ร้อยละ 18.1 ภาคใต้ ร้อยละ 15.9 ภาคกลาง ร้อยละ 9.6 และกรุงเทพมหานคร ร้อยละ 6.4
เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา พบว่า ภาคใต้เป็นภาคที่ต้องการพัฒนาฯ เพิ่มมากที่สุด ร้อยละ 2.3รองลงมาเป็นกรุงเทพมหานคร ร้อยละ 1.9 และภาคกลางร้อยละ 1.0 ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือมีสัดส่วนการพัฒนาฯลดลง ร้อยละ 0.9 และ 0.4 ตามลำดับ
@ ทำอาหาร เสริมสวย ตัดเย็บเสื้อผ้า หลักสูตรยอดฮิต
จาก การสำรวจ หลักสูตรที่ต้องการพัฒนาขีดความสามารถในปี 2552 พบว่า มีผู้สนใจเข้ารับการพัฒนาขีดความสามารถใน 3 ลำดับแรก ได้แก่ ด้านคหกรรม เช่นการประกอบอาหาร การเสริมสวย และ ตัดเย็บเสื้อผ้า ร้อยละ 27.3 รองมาเป็นด้านช่างอุตสาหกรรม ร้อยละ 25.9 และลำดับที่ 3 เป็นด้านเกษตรกรรมและเลี้ยงสัตว์ ร้อยละ 18.1 และยังพบว่า ชายและหญิง มีความต้องการพัฒนาฯ ที่แตกต่างกัน โดยชายต้องการพัฒนาฯ ทางด้านช่างอุตสาหกรรม ร้อยละ 50.4 ด้านเกษตรกรรมและเลี้ยงสัตว์ ร้อยละ 23.7 และด้านคอมพิวเตอร์ หรือ ICT ร้อยละ 12.4 ในขณะที่หญิงต้องการพัฒนาฯ ทางด้านคหกรรม คิดเป็นร้อยละ 49.4 ด้านคอมพิวเตอร์ หรือ ICT ร้อยละ 16.2 และด้านเกษตรกรรมและเลี้ยงสัตว์ ร้อยละ 12.7
@ คนว่างงานต้องการให้รัฐช่วยหางานทำมากที่สุด
จาก การสำรวจ ผู้ว่างงานมีความต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลืออย่างไรบ้าง จากการสำรวจพบว่า ผู้ว่างงาน ถึงความต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือ พบว่าผู้ว่างงานต้องการให้รัฐช่วยหางานให้ทำมากที่สุด ร้อยละ 74.7 โดยในจำนวนนี้ ส่วนใหญ่ต้องการให้รัฐช่วยหา งานให้ทำภายในจังหวัดที่ตนอาศัยอยู่ รองลงมาต้องการให้รัฐช่วยเรื่องการให้ทุนสำหรับประกอบอาชีพอิสระ ร้อยละ 12.3 ช่วยพัฒนาฝีมือแรงงาน ร้อยละ 5.2 ช่วยสนับสนุนอาชีพทางการเกษตร ร้อยละ 3.5 ให้ข้อมูล ข่าวสารตลาดแรงงาน ร้อยละ 2.2 และให้เงินช่วยเหลือค่าเล่าเรียนบุตร ที่เหลือในเรื่องอื่นๆ ร้อยละ 2.1