จาก โพสต์ทูเดย์
รายงานโดย :ดวงใจ จิตต์มงคล: |
นับ แต่ปลายไตรมาส 3 ส่งท้ายขึ้นไตรมาส 4 ปีนี้ มีกูรูด้านการตลาดและเจ้าของสินค้าหลายรายออกมาสร้างความเชื่อมั่นให้กับ เศรษฐกิจประเทศไทยว่าจะต้องฟื้นกลับมาแน่นอน แม้ว่าอาจไม่เห็นเป็นรูปตัววี (V) อย่างฉับพลัน แต่อย่างน้อยที่สุดก็อาจได้เห็นเศรษฐกิจฟื้นตัวในรูปตัวยู (U) ก็มีความเป็นไปได้
ทั้งนี้ จากสารพัดแคมเปญฟื้นความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของรัฐบาลที่เข็นออกมาอย่างต่อ เนื่องนับแต่ต้นปี อีกทั้งช่วงปลายปีนี้ยังมีปัจจัยภายนอกที่เข้ามาสนับสนุน คือสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศที่เป็นคู่ค้าสำคัญของไทย อย่างสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นที่เริ่มเปล่งประกายความสดใสทางเศรษฐกิจภายใน ประเทศ ออกมาให้กลุ่ม ผู้ประกอบการส่งออกไทยมีความหวังขึ้น เพราะจะเป็นอีกหนึ่งกลไกเมื่อตลาดส่งออกทำงานต่อไปได้ กำลังซื้อหรือรายได้ก็จะกลับคืนมาสู่ในประเทศไทยด้วยเช่นกัน
แนวโน้มดังกล่าวสอดคล้องกับ สมบุญ ประสิทธิ์จูตระกูล ประธานอำนวยการประเทศไทย บริษัท ดีทแฮล์ม และ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ที่กล่าวว่าแม้เศรษฐกิจไทยจะมีสัญญาณบวกเกิดขึ้นในหลายภาคธุรกิจ แต่ในไตรมาส 4 นี้ ภาคการท่องเที่ยวยัง น่าเป็นห่วง ด้วยมีปัจจัยนอกเหนือการควบคุมเข้ามากระทบอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของสมาคมการตลาดในปีนี้ได้ระดมความคิดจากสมาชิกกลุ่มสมาคม เพื่อร่วมมือและวิเคราะห์ แก้ปัญหา และเปิดมุมมองโอกาสทางการตลาด พร้อมกำหนดกลยุทธ์ต่างๆ ส่วนหนึ่งผ่านการจัดสัมมนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีนี้สมาคมได้จัดสัมมนาพิเศษกับกูรูนักการตลาดระดับโลก “แจ็ค เทราท์” (Jack Trout) ในหัวข้อ “โพสิชันนิง ยัวร์เซลฟ์...เซอร์ไววัล อิน รีเซสชัน” กลยุทธ์การวางแผนและการอยู่รอดทางตลาดในภาวะเศรษฐกิจถดถอย ในวันที่ 22 ก.ย.นี้
สำหรับแนวทางของ “แจ็ค เทราท์” สมาคมเห็นว่าสอดคล้องกับการทำตลาดในภาคธุรกิจทุกส่วนของประเทศไทย ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในปัจจุบัน เนื่องจากตำแหน่งหรือโพสิชันนิง ของผลิตภัณฑ์หรือบริการ มีส่วนต่อการ ตัดสินใจเลือกใช้ของผู้บริโภค แม้แต่ภาพลักษณ์ของนักการเมืองก็ด้วย เช่นกัน ว่าวางตำแหน่งของ นักการเมืองคนนั้นๆ เป็นอย่างไร ซึ่งจะสะท้อนบุคลิกไปยังกลุ่มผู้บริโภคในที่สุด
สมบุญ กล่าวว่า ในส่วนของประเทศไทยเองกำลังเผชิญกับภาวะการถดถอยในการทำตลาดการท่องเที่ยว และถึงเวลาที่ควรจะต้องหันกลับมาทบ ทวนตำแหน่งทางการตลาดท่องเที่ยวใหม่ หรือรีโพสิชันนิงประเทศไทย จากการรับรู้ของคนต่างชาติในช่วงก่อนหน้านี้ที่รู้จักประเทศไทย ว่าเป็น “สยามเมืองยิ้ม” หรือแลนด์ ออฟ สไมล์ แต่ปัจจุบันการรับรู้ดังกล่าวได้ค่อยๆ ทยอยลบเลือนไปแล้ว
สำหรับแนวทางการปรับตำแหน่งทางการทำตลาดประเทศไทยนั้น ในด้าน ของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนนั้น อาจจะต้องหันกลับมาทบทวนหรือปรับตำแหน่ง (รีโพสิชันนิง) ในการทำตลาดใหม่ใน 2 ส่วนที่มีความเป็นไปได้คือ 1.การนำจุดแข็งเดิมที่มีอยู่แล้วตอกย้ำการรับรู้ใหม่ หรือ 2.การหาจุดขายใหม่เพื่อแข่งขันต่อไป เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ในการท่องเที่ยว เป็นต้น
นอกจากนี้ สมบุญยังกล่าวถึงการ ปรับตัวทางการตลาดสำหรับเจ้าของสินค้า ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว จากพฤติกรรม ผู้บริโภคมักเลือกแบรนด์ หรือตราสินค้าที่มีความ น่าเชื่อถือมากที่สุดมากกว่า โดยไม่จำเป็นต้องลองทุกสินค้าที่เปิดตัวใหม่ ดังนั้น นักการตลาดที่ต้องการจะออกสินค้าใหม่ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาตำแหน่งทางการตลาดให้แม่นยำขึ้น เพื่อสร้างแบรนด์ให้อยู่ในตลาดได้ด้วยการทำ แนวคิด (คอนเซปต์) แบรนด์ ภายใต้การปรับตำแหน่งใหม่ทางการตลาดให้ชัดเจน
ทั้งนี้ ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปัจจุบัน เจ้าของสินค้าหรือนักการตลาด ต้องคำนึงถึง 3ซี (3C) หลัก ประกอบด้วย 1.แนวคิดผลิตภัณฑ์ (C : Concept) 2.การแข่งขัน (C : Compettition) และ 3.สุดท้าย การเปลี่ยนแปลง (C : Change) ที่ต้องสร้างความชัดเจนและเข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภคในกลุ่มเป้าหมายได้มากที่ สุด จากภาวะตลาดและกำลังซื้อที่ชะลอตัว ทำให้เกิดสินค้าที่สามารถลอกเลียนแบบ (ก๊อบปี้) ได้ง่ายขึ้นกว่าช่วงเวลาปกติ
“จิตวิทยาผู้บริโภคเป็นสิ่งที่น่าเป็น ห่วงต่อการฟื้นกำลังซื้อและเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายนี้ จากภาพที่ถูกสร้างขึ้นอาจเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้บริโภคเชื่อถือเป็น จริงได้ หรือที่เรียกว่าเพอร์เซปชัน อีส เรียลิตี ซึ่งแนวทางเบื้องต้นของรัฐที่ต้องออกมาย้ำ คือการสร้างความเชื่อมั่นเป็น สิ่งสำคัญมาก เช่นเดียวกับการจะวางตำแหน่งของสินค้าได้อย่างไรนั้น เจ้าของสินค้าต้องสร้างความมั่นใจให้กับแบรนด์ ได้ก่อน” สมบุญ กล่าว