จาก โพสต์ทูเดย์
รายงานโดย :กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์: |
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552
|
ฉบับที่แล้วผู้เขียนได้นำเสนอสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของบริษัทธุรกิจครอบครัวไว้ วันนี้เรามาดูกันในเรื่องสำคัญอีกด้านหนึ่ง
ตัวอย่างที่สำคัญที่ควรมีการกำหนดเรื่องสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น เช่น
1.การดำเนินการใดๆ ในนามของธุรกิจครอบครัวในเรื่องสำคัญๆ ในการซื้อ การลงทุน ในการกู้หนี้ยืมสิน การก่อภาระผูกพัน การค้ำประกัน ในจำนวนเงินที่กำหนดว่าจะต้องผ่านมติของกรรมการและผู้ถือหุ้นอย่างไร หากมีข้อโต้แย้งจะมีกลไกขจัดข้อโต้แย้งอย่างไร รวมทั้งการมีข้อกำหนดที่จะค้ำประกัน ชดเชยความเสียหายให้กับสมาชิกของผู้ถือหุ้นที่ได้ทำตามมติของกรรมการและผู้ ถือหุ้นด้วย
2.ตัวอย่างของข้อตกลงระหว่างผู้ถือหุ้นในการซื้อขายหุ้นและข้อ จำกัดเรื่องการโอนหุ้นระหว่างผู้ถือหุ้น ที่ควรจะกำหนดไว้ในสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น ก็ทำนองเดียวกับข้อบังคับ คือ
2.1 การโอนหุ้นจะต้องได้รับอนุมัติ ไม่ว่าจากกรรมการในกลุ่มของตนเอง หรือจากผู้ถือหุ้นก่อนมีการโอนหุ้น และการโอนหุ้นนั้นจะโอนให้กับบุคคลภายนอกไม่ได้ ส่วนจะกำหนดการโอนหุ้นเฉพาะผู้สืบสันดาน หรือบุคคลที่มีความเกี่ยวโยงหรือเกี่ยวพันกับครอบครัวก็เป็นเรื่องที่ต้อง กำหนดไว้
2.2 เรื่องสิทธิในการมีสิทธิซื้อหุ้นก่อนถ้าจะมีการโอนหุ้นของ สมาชิกในครอบครัว การกำหนดสิทธิในการซื้อหุ้นนั้น อาจจะกำหนดเป็นขั้นตอน กล่าวคือ จะต้องเสนอกับผู้ถือหุ้นในกลุ่มเดียวกันก่อน แล้วจึงจะเสนอนอกกลุ่มเป็นสิทธิในการซื้อหุ้นก่อน (Right of First Refuser) ภายใต้เงื่อนไขและราคาเดียวกัน หรือการแจ้งให้ผู้ถือหุ้น ทุกคนทราบ ปัญหาคือใครจะมีสิทธิซื้อเพราะอาจมีผลถึงเรื่องมติต่างๆ ในอนาคต
2.3 อาจจะห้ามมิให้มีการขายให้กับบุคคลภายนอกโดยเด็ดขาด หรือ
2.4 การกำหนดให้มีการที่จะต้องมีการทำสัญญาจะซื้อขายถ้าหากเกิดกรณีบางเหตุการณ์ ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีเกิดการหย่าร้าง การตกเป็นผู้ไร้ความสามารถ การเป็นเสมือนบุคคลไร้ความสามารถ หรือเกษียณอายุจากธุรกิจครอบครัว (เฉพาะหุ้นในบางบริษัทเป็นบริษัทประกอบการ)
2.5 มีมาตรการกำหนดราคาหรือประเมินราคาหุ้นให้ชัดเจนในทุก กรณี ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดโดยการเสนอชื่อจากบุคคลทั้งสองฝ่าย จากที่ปรึกษาอิสระ การคำนวณมูลค่า อาจจะตั้งสูตรในการคำนวณไว้ในขั้นต่ำ การชำระราคา ซึ่งกรณีต่างๆ นั้น ข้อกำหนดในการซื้อขายหุ้น การชำระราคา โปรดสังเกตว่าการคำนวณและประเมินราคานั้น ธุรกิจครอบครัวอาจจะมีความแตกต่างจากธุรกิจธรรมดา เพราะอาจจะต้องนำองค์ประกอบประการอื่นมาพิจารณาด้วย คือความสัมพันธ์ในธุรกิจครอบครัว
ในต่างประเทศนั้นอาจจะมีข้อตกลงเกี่ยวกับการเสนอขายระหว่างผู้ถือ หุ้น จะต้องเสนอราคาที่เหมาะสมและเป็นกลาง และถ้าหากเสนอแล้วผู้ถือหุ้นอื่นที่ไม่ซื้อ หรือได้รับคำเสนอก็มีสิทธิจะซื้อคืนจากผู้ทำคำเสนอซื้อได้ หรือที่เรียกว่า Short Gun Clause ได้ หรือการให้บริษัทซื้อหุ้นตนเองคืนจากผู้ถือหุ้นได้ เพราะฉะนั้นกระบวนการอย่างนี้ก็เป็นกระบวนการที่จะต้องนำมาพิจารณาระบุไว้ใน สัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นแทนที่จะเขียนในข้อบังคับ
บทสรุป
การกำหนดข้อบังคับหรือสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น ไม่อาจจะถือว่าเป็นสูตรสำเร็จที่แก้ไขข้อพิพาทของสมาชิกในครอบครัวได้ แต่อย่างน้อยก็ยังสามารถให้ข้อพิพาทนั้นอาจจะลดลงหรือระงับได้โดยไม่เสียค่า ใช้จ่ายเวลาและความสัมพันธ์ของสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะหากมีการร่างก่อนและให้ความรู้ความเข้าใจถึงสิทธิหน้าที่และบทบาท ของสมาชิกก่อนที่จะมีปัญหาข้อพิพาทกัน
การจัดทำข้อบังคับและสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น แม้ว่าจะร่างให้ดีอย่างไรก็ตาม ถ้าหากสมาชิกในครอบครัวไม่เป็นผู้ที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงหรือมีความเห็นแก่ ตัวแล้ว ข้อบังคับและสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นก็ย่อมไม่สามารถแก้ไขข้อพิพาทดังกล่าว ได้ การสื่อสารและความเข้าใจกันอยู่เสมอ ย่อมแก้ปัญหาได้ดีกว่าเอกสารทางกฎหมาย และที่สำคัญเจ้าของธุรกิจครอบครัวไม่อาจจะใช้สัญญามาตรฐานได้กับทุกครอบครัว เพราะแต่ละครอบครัวมีองค์ประกอบและปัญหาวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน เป็นเรื่องที่ท่านต้องคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้องก่อนจัดทำร่างสัญญาและข้อ บังคับ
สัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของธุรกิจครอบครัว อาจจะมีความแตกต่างกับสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของบุคคลที่เป็นคู่ค้าในการทำ ธุรกิจที่กำหนดรายละเอียดที่แตกต่างจากข้อบังคับก็เป็นเรื่องที่ต้องระวัง และกรณีบางอย่างถ้าหากไม่อยากเขียนเป็นสิ่งที่กำหนดสิทธิหน้าที่ให้ชัดเจน นัก ก็อาจจะไปเขียนไว้ในสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น ข้อบังคับสภาครอบครัว เพราะอาจจะไม่เป็นเรื่องของกฎหมาย แต่เป็นแนวทางการปฏิบัติของสมาชิกในครอบครัว
การจัดลำดับความสำคัญในการร่างข้อบังคับและสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น นั้น ก็เพื่อการสร้างกติกาไว้ล่วงหน้า การให้ความรู้และความเข้าใจในการนำความสำคัญของปรัชญาของธุรกิจครอบครัวของ สมาชิกในครอบครัวจึงเป็นเรื่องสำคัญ จึงควรมีการให้สมาชิกในครอบครัวทุกคนได้อ่านและศึกษาและทำความเข้าใจกับข้อ กำหนดในข้อบังคับและสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นพร้อมๆ ไปกับปรัชญาหรือวิสัยทัศน์ของธุรกิจครอบครัว
ที่สำคัญก็คือว่า เมื่อมีความขัดแย้งหรือข้อพิพาทเกิดขึ้นในระหว่างสมาชิกครอบครัว (ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเนื่องจากความเห็นที่แตกต่างกัน ผลประโยชน์และขาดการสื่อสาร) กระบวนการไกล่เกลี่ย เจรจาประนีประนอม จึงเป็นกระบวนการที่จะต้องได้รับการปฏิบัติ และได้รับการเขียนไว้ให้ชัดเจนที่สุดก่อนที่จะนำกระบวนการดังกล่าวไปสู่การ วินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการหรือศาล ซึ่งนั่นหมายความว่าธุรกิจครอบครัวกำลังใกล้ถึงสภาวะวิกฤตอันตราย อันอาจไม่สามารถสืบทอดธุรกิจครอบครัวให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนอีกต่อไป