จากประชาชาติธุรกิจ
คนเดินตรอก
ดร.วีรพงษ์ รามางกูร
เมื่อ เย็นวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนกันยายน 2552 สถานทูตจีนที่กรุงเทพฯได้จัดงานเลี้ยงฉลองครบ 60 ปี หรือครบ 5 รอบปีนักษัตร แห่งการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจะครบ 60 ปี จริงๆ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2552 ซึ่งเป็นวันที่อดีตประธานเหมา เจ๋อ ตุง ได้อ่านประกาศการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้น วันชาติของจีนปีนี้จึงถือว่าเป็นปีที่สำคัญอย่างยิ่ง
พูด ถึงประเทศจีนซึ่งขณะนี้กำลังเจริญรุ่งเรืองกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ อันดับสามของโลกรองจากสหรัฐอเมริกากับญี่ปุ่น และเป็นมหาอำนาจทางทหารอันดับสองรองจากสหรัฐอเมริกาเท่านั้น เพราะสหภาพโซเวียตได้ล่มสลายไปแล้ว และกำลังจะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับสองรองจากสหรัฐอเมริกา แซงญี่ปุ่นขึ้นไปในเวลาอันใกล้นี้
สมัย ก่อนเมื่อใครจะพูดถึงประเทศจีนยุคที่อยู่ใต้การปกครองของราชวงศ์ชิงก็ดี ของพรรคก๊กมินตั๋งก็ดี หรือแม้แต่พรรคคอมมิวนิสต์ก็ดี สิ่งที่จะพูดคุยกันก็คือเรื่องของความยากจน เรื่องความล้าหลังของประเทศจีน ประเทศไทยกับประเทศจีนนั้นต้องถือว่าเป็นศัตรูทางการเมืองที่สำคัญ เพราะพรรคคอมมิวนิสต์จีนประกาศอย่างเปิดเผยว่าเป็นผู้ให้การสนับสนุนทาง อาวุธและทางทหารให้กองทัพปลดแอกแห่งประเทศไทย พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยให้จับอาวุธขึ้นต่อสู้กับรัฐบาลไทยด้วย
การ เดินทางไปประเทศจีนถือว่าเป็นความผิด คนไทยเชื้อสายจีนที่อยากจะเดินทางไปเยี่ยมญาติพี่น้องที่เมืองจีนจะต้องแอบ ไปแบบไม่ให้ทางการรู้ มิฉะนั้นจะมีความผิดฐานกระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์ จำได้ว่ามีการต่อสู้กันทางวิทยุ โดยที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนให้การสนับสนุนจัดตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียง ประชาชนแห่งประเทศไทยที่เมืองคุนหมิง มณฑลกวางตุ้ง แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามกฎอนิจจังของพุทธศาสนา ที่ไม่มีอะไรคงที่ไปตลอดกาล ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปด้วยเหตุและปัจจัย ทุกวันนี้ใครที่ไม่เคยไปเมืองจีนดูจะเป็นเรื่องที่เชยสำหรับคนไทย
ยัง จำได้ว่าเมื่อไปเมืองจีนครั้งแรกในปี 2525 หลังจากที่ท่านอดีตนายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เดินทางไปเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2528 ทั้งๆ ที่ตอนนั้นพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ยังเป็นผู้สนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่ง ประเทศไทยจับอาวุธต่อสู้กับรัฐบาลไทย โดยที่จีนถือว่าเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพรรคกับพรรค ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐ
การ เดินทางไปเมืองจีนในยุคนั้นจึงยังไปเองไม่ได้ จะไปได้ต้องเป็นแขกเชิญของรัฐบาลจีน หรือหน่วยงานของรัฐบาล หรือไม่ก็เป็นการเชิญของพรรคจึงจะเดินทางไปได้ ที่ไปคราวแรกนั้นไปในฐานะคณะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ โดยได้รับเชิญจากท่านไฉ เจ๋อ หมิน ประธานสถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของสภาที่ปรึกษาประชาชนแห่งชาติ
ท่าน ไฉ เจ๋อ หมิน เป็นเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยคนแรก หลังจากที่ท่านเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนถาวรจีนประจำสหประชาชาติคนแรกของ สาธารณรัฐประชาชนจีนด้วย
การ เดินทางไปปักกิ่งสมัยก่อนนั้นยุ่งยากพอสมควร แม้จะเป็นแขกขององค์กรของรัฐ กล่าวคือเราต้องออกค่าเดินทางเองจากกรุงเทพฯไปฮ่องกงก่อน แล้วจากฮ่องกงจึงจะมีเครื่องบินจีนจากฮ่องกงไปปักกิ่ง
เครื่อง บินจีนนั้นเป็นเครื่องบินใบพัด 4 เครื่องยนต์บ้าง 2 เครื่องยนต์บ้างของรัสเซีย เวลาจอดอยู่ที่ลานบิน ภายในเครื่องบินจะไม่มีการปรับอุณหภูมิในเครื่อง ไม่มีการปรับความดันในเครื่อง มีแต่เอาเครื่องเป่าลมมาเป่าระบายความร้อน เมื่อผู้โดยสารขึ้นเครื่องแล้วพนักงานจะแจกพัดจีนคนละเล่ม ไว้พัดเวลาร้อน เมื่อเครื่องบินขึ้นสู่ท้องฟ้า และไต่ระดับถึงเพดานบินแล้ว พนักงานต้อนรับบนเครื่องจะแจกทอฟฟี่ให้ผู้โดยสารอมแก้หูอื้อ กัปตันก็จะปล่อยให้อากาศเย็นจากข้างนอกเข้ามา เมื่ออากาศเย็นภายนอกมากระทบกับอากาศร้อนข้างใน ก็จะเกิดเป็นไอน้ำเหมือนกับควันสีขาวๆ พุ่งเข้ามาในเครื่อง คนไทยที่เคยขึ้นเครื่องบินรัสเซียของประเทศในค่ายคอมมิวนิสต์ก็จะตกใจ แต่ก็จะได้รับการชี้แจงจากมัคคุเทศก์ซึ่งมาต้อนรับว่าไม่ต้องกังวลเครื่อง บินไม่ได้รั่ว
สมัย นั้นเมื่อเข้าสู่เรือนรับรองหรือโรงแรมที่ทางการจัดให้เป็นที่พักแล้ว ตอนเย็นเจ้าภาพซึ่งมักจะเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เช่น ที่ปักกิ่ง ท่านไฉ เจ๋อ หมิน ก็จะมาเป็นเจ้าภาพเอง ถ้าเมืองอื่นๆ ก็เป็นประธานคณะกรรมการฝ่ายต่างประเทศของเมืองมาเป็นเจ้าภาพเลี้ยง
แต่ ที่แปลกก็คือก่อนลงมือรับประทานอาหาร ทุกที่ที่ไปไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารในโรงแรมปักกิ่ง หรือที่เซี่ยงไฮ้ หนานโจว กว่างโจว หางโจว ซีอาน และคุนหมิง ผู้จัดการร้านอาหารซึ่งเป็นของสหกรณ์หรือของรัฐ จะขึ้นมากล่าวขอโทษ ว่าอาหารวันนี้จะไม่อร่อยเท่าที่ควร เพราะก๊วน 4 คน หรือ 4 นั้งปั้ง ซึ่งได้แก่ หวัง หง เวิน จาง ชุนเฉียว เหยา เวินหยวน และเจียงชิง ทำให้จิตใจของพ่อครัวและแม่ครัวไม่สดใสสบายใจเท่าที่ควร เมื่อแก๊ง 4 คนนี้ถูกขจัดไปแล้วต่อไปขอเชิญมาใหม่ อาหารจะอร่อยกว่านี้
สิ่ง ที่ขาดไม่ได้สำหรับแขกของรัฐบาล ก็คือพาไปชม ′คอมมูน′ ซึ่งคอมมูนเป็นหน่วยการผลิตรวม คือประชาชนที่เป็นสมาชิกคอมมูนไม่ใช่เจ้าของปัจจัยการผลิต เช่น ที่ดิน ไร่นา เป็นของส่วนรวม มีคำจีนกล่าวว่า เป็นระบบ "กินข้าวหม้อเดียวกัน" กล่าวคือ ครอบครัวต่างๆ จะไม่มีครัวของตัวเองแต่มากินที่โรงอาหาร เมื่อมีลูกค้าก็มีหน่วยเลี้ยงดูให้ คอมมูนเป็นทั้งหน่วยการผลิตรวมและหน่วยการปกครอง อาจจะเรียกว่าตำบลก็ได้ แต่เป็นตำบลที่ใหญ่กว่าอำเภอของเรามาก
คอม มูนที่เขาพาไปดูอยู่นอกเมืองกว่างโจว มีอายุประมาณ 35-40 ปี เป็นผู้จัดการหรือเลขาธิการคณะกรรมการคอมมูนเป็นผู้มาต้อนรับพาชมหน่วยผลิต ที่ทางการจัดไว้ เพื่อแสดงให้แขกชม รวมทั้งพาไปดูบ้านช่องของสมาชิกที่มีพ่อแม่และลูก 1 คน ซึ่งแสดงให้เห็นความเป็นอยู่ที่สุขสบาย แม้ว่าจะไม่หรูหรา ฟุ่มเฟือย เมื่อกลับมาเมืองไทย ถามคณะอื่นๆ ที่ไปก่อนหน้า ก็ได้รับทราบว่าเกือบทุกคณะทางการจะพาไปชม คอมมูนและบ้านหลังนี้เกือบทุกคน
สมัย นั้นแขกที่เป็นชาวต่างประเทศ ทางการจะไม่อนุญาตให้แลกเงินเป็นเงินหยวน หรือเหริน หมิน ปี้ แต่จะให้แลกเป็นเงินที่เรียกว่าบัตรแทนเงินตราต่างประเทศ หรือที่เรียกว่า ′exchange certificate′ เพราะของบางอย่าง เช่น เหล้าเหมาไถจะซื้อด้วยเงินหยวนของประชาชนธรรมดาไม่ได้ ต้องซื้อด้วยบัตรที่ใช้แทนเงินตราต่างประเทศ หน่วยเป็นหยวนเหมือนกันแต่อัตราแลกเปลี่ยนเป็นอัตราราชการ ไม่ใช่อัตราในตลาดมืดซึ่งดีกว่าอัตราราชการเป็นอันมาก ระบบนี้ถูกเลิกไปเมื่อจีนเปิดประเทศและมีทุนสำรองระหว่างประเทศที่มั่นคง แล้ว
ใน สมัยนั้นชาวต่างประเทศที่ไปเมืองจีนจะเดินไปซื้อข้าวของตามที่ต่างๆ เองไม่ได้ ต้องไปเป็นคณะโดยมีมัคคุเทศก์นำ จำได้ว่ามัคคุเทศก์ที่ดูแลพวกเรามี 2 คนคือ คุณลู่ เป็นล่ามภาษาไทย กับคุณสิงห์ เป็นล่ามภาษาลาว คุณสิงห์จะพูดไทยผสมภาษาลาวให้พวกเราได้ขำขันเสมอ โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว
ถ้าต้องการจะซื้ออะไรต้องไปซื้อที่ ′ร้านมิตรภาพ′ หรือ Friendship Store ติด ป้ายตัวใหญ่ ราคาสินค้าคงที่ ไม่ต้องต่อรองราคากัน สิ่งที่คนไทยนิยมไปซื้อกันก็คือ ของเก่า และที่นิยมกันมากก็คือพระกริ่งจีน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะชื่อเสียงของพระกริ่งหนองแส ซึ่งเป็นกริ่งจีน พระกริ่งที่ร้านมิตรภาพ ในกรุงปักกิ่งจึงขายดี ที่นี่ดีอย่างถ้าเป็นของเก่า เขาจะออกใบรับรองว่าเป็นของเก่าแท้สมัยราชวงศ์อะไรให้ด้วย เสียแต่เพียงเขาจะแกะเอาเม็ดทองคำที่ฐานออกไปขายก่อนแล้ว ไปอีกทีไม่มีขายเสียแล้ว แต่ไปเที่ยวนั้นก็ได้กันคนละ 2-3 องค์
เพียง เวลาไม่ถึง 30 ปีดี หลังจากจีนได้เปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจมาสู่ระบบตลาดที่จีนเรียกว่า ′ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดสังคมนิยม′ ไม่ใช่ ′ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดทุนนิยม′ และจีนก็ยังจะยึดถือระบบเช่นว่านี้ต่อไป เพราะจีนเองและประเทศอื่นๆ ทั่วโลกถือว่าเป็นแบบอย่างที่เปลี่ยนระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ โดยการวางแผนจากส่วนกลางมาเป็นระบบตลาด แต่ก็ยังมีการควบคุมและมีการวางแผนจากส่วนกลางอยู่ ได้รับความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมอย่างที่รัสเซียและประเทศยุโรปตะวันออกลอก เลียนแบบไปไม่ได้
ทุก วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว ภายหลังจากการเปิดประเทศ การเดินทางจากกรุงเทพฯไปเมืองต่างๆ ที่เป็นเมืองใหญ่ สามารถบินลงไปได้เลยด้วยเครื่องบินที่ทันสมัย ที่พักเป็นโรงแรมหรูหรา ไม่แพ้ญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา
สิ่ง ต่างๆ ที่เล่ามาเป็นอดีตไปหมดแล้ว หลังจากจีนได้เปิดประเทศและเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจเป็นแบบการตลาด โดยมีการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ตามแนวทาง 4 ทันสมัยของท่านเติ้ง เสี่ยว ผิง ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยรวมศูนย์ ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผลของการเปลี่ยนแปลงได้ปรากฏออกมาเป็นความสำเร็จอย่างดี
ในอนาคต จีนยังคงรักษาระบบเศรษฐกิจและระบอบการเมืองที่ใช้ในปัจจุบันได้ยาวนาวต่อไปเพียงใด เป็นสิ่งที่ต้องติดตามดู
นัก วิชาการหลายคนเห็นว่า แม้ว่าจะมีการปฏิรูประบบการคัดเลือกผู้นำภายในพรรค โดยคำนึงถึงความสามารถและวิสัยทัศน์แล้วก็ตาม แต่การพัฒนาการเมืองในประเทศจีนก็ยังตามหลังพัฒนาการทางด้านเศรษฐกิจอยู่มาก ความกดดันน่าจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ส่วนจะเปลี่ยนแปลงไปทางไหน อย่างไร คงไม่มีใครทราบ
ต้องติดตามดูกันต่อไป