จากประชาชาติธุรกิจ
เสียง ร้องเฮ !!!! ดังขึ้นทุกครั้งที่ราคาทองคำขยับขึ้น แต่ปัจจุบันไม่ว่าราคาทองคำจะขึ้นหรือลง ต่างเรียกเสียงเฮได้เหมือน ๆ กัน เป็นผลมาจากการเปิดตัวสินค้า "สัญญาซื้อขายราคาทองคำล่วงหน้า" (โกลด์ฟิวเจอร์ส) ในตลาดอนุพันธ์ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2552 ที่ผ่านมา โดยเริ่มด้วยการซื้อขายสัญญาราคาทองคำที่ 50 บาทต่อสัญญา ซึ่งนักลงทุนจะสามารถเลือกเล่น ขาขึ้นหรือขาลงของราคาทองคำได้หมด
ที่ สำคัญการลงทุนในโกลด์ฟิวเจอร์สจะใช้เงินน้อยกว่าการซื้อทองคำที่ร้านทองแถว เยาวราช แต่สถานะความเสี่ยงของทองกระดาษจะสูงกว่าทองคำแท่ง แต่อย่างไรก็ตาม ทองคำก็ยังเป็น save heaven ที่นักลงทุนถวิลหาต้องการลงทุนอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งธุรกิจร้านค้าทองและ โบรกเกอร์ที่เห็นโอกาสทางธุรกิจเช่นกัน
เพียงแค่ระยะเวลา 8 เดือนที่เปิดตลาดโกลด์ฟิวเจอร์ส ในเดือนแรกที่เปิดซื้อขายมีมูลค่าทะลุวันละ 1,000 สัญญา มูลค่าการซื้อขายรวม 4,855.87 ล้านบาท หากนับรวม 8 เดือน มูลค่าการซื้อขาย 123,728 สัญญา คิดเป็นมูลค่า 96,576.96 ล้านบาท (ณ วันที่ 7 ต.ค. 2552) โดยมีอัตราเติบโตของจำนวนสัญญา 12,000% ส่วนมูลค่าการซื้อขายเติบโต 1,889%
ขณะ ที่ราคาทองคำแท่งในตลาด (Gold Spot) ในปีนี้ ยังคงทะยานขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้น ทำให้คนหันมาหาทองคำกันมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงการลงทุน แม้ในระหว่างปีจะมีความผันผวนหลังแตะแนวต้านหลัก 1,000 ดอลลาร์/ออนซ์ แต่เมื่อราคาทองคำปรับฐานลงมาบริเวณ 900 ดอลลาร์/ออนซ์หลายรอบ แล้วก็พลิกกลับมาขาขึ้นใหม่ ล่าสุดราคาทองคำพุ่งขึ้นมาถึง 1,070 ดอลลาร์/ออนซ์ เป็นสถิติที่พุ่งขึ้นมาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของตลาดทองคำทีเดียว โดยมาจากข่าวข้อตกลงลับ ๆ ว่าดอลลาร์สหรัฐอเมริกาจะไม่ใช่เงินสกุลหลักในการซื้อขายน้ำมัน และไม่ใช่สกุลหลักในทุนสำรองระหว่างประเทศ ส่งผลให้ราคาทองคำในไทยพุ่งขึ้นมาทะลุบาทละ 16,500 บาท หลังจากเมื่อต้นปี 2552 ขึ้นมาแตะสูงสุดที่บาทละ 16,700 บาท และมีแนวโน้มจะขึ้นไปทะลุที่ 17,000 บาท
จากข้อมูลของตลาดอนุพันธ์ (TFEX) ระบุว่า 8 เดือน ปีนี้ของตลาดอนุพันธ์ พบว่าโกลด์ฟิวเจอร์สมีมูลค่า การซื้อขายสัดส่วน 30% ของมูลค่าการซื้อขายรวมใน ตลาดอนุพันธ์อยู่ที่ 452,828 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 3,886 ล้านบาทต่อวัน จะเห็นว่า เพียงระยะเวลาไม่กี่เดือน เงินลงทุนในโกลด์ฟิวเจอร์สสูงถึง 1 ใน 3 ของตลาดรวมแล้ว
ทำให้ TFEX เห็นการเติบโตของตลาดโกลด์ฟิวเจอร์ส จึงได้ขยายช่องทางการเข้าถึงสินค้าโกลด์ฟิวเจอร์สอีก ด้วยการประสานงานกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการอนุญาตให้ผู้ดูแลสภาพคล่อง (market marker) คือโบรกเกอร์ สามารถเข้าซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์ส และอีทีเอฟทองคำในต่างประเทศได้ ทำให้มาร์เก็ตเมกเกอร์สามารถบริหารความเสี่ยงจากการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่าง มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้กำลังศึกษาการขยายระยะเวลาการซื้อ ขายเป็น 24 ชั่วโมง จากปัจจุบันเปิดทำการซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สเพียง 2 รอบ แบ่งเป็นรอบเช้า 09.15-12.30 น. รอบบ่าย 14.00-16.55 น. หรือการเพิ่มสินค้าสัญญาราคาทองคำล่วงหน้า 10 บาทต่อสัญญา เพื่อดึงนักลงทุนรายย่อยเข้ามาลงทุนได้ง่ายขึ้น และยังศึกษาดัชนีอ้างอิงทองคำขึ้นใหม่
โกลด์ฟิวเจอร์สรุกคืบลูกค้าร้านทอง
การ เติบโตของตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สของไทย จึงเป็น อีกช่องทางหนึ่งของร้านค้าทองต้องหันมาให้บริการรับออร์เดอร์เทรดทองกระดาษ นอกเหนือจากขายทองคำแท่ง ทางสมาคมค้าทองคำตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคทองคำที่เคยซื้อทองรูปพรรณมียอดซื้อลดลง 30-40% ต่อปี โดยส่วนใหญ่หันมาเล่นทองคำแท่ง เพราะเก็งกำไรตามราคาทองคำในตลาดโลกได้คล่องตัวกว่า ไม่ต้องเสียค่ากำเหน็จเหมือนทองคำรูปพรรณ ปัจจุบันจึงมีสัดส่วนยอดขายทองรูปพรรณเหลือเพียง 10-20% ของยอดขายทองเท่านั้น ถ้าร้านค้าทองปรับตัวมาให้บริการเทรดทองด้วยก็จะมีรายได้ค่าคอมมิสชั่นโกลด์ ฟิวเจอร์ส เข้ามาอีกทางหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะการเล่นทองกระดาษต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่าง มาก ดังนั้นการ เลือกใช้โบรกเกอร์เทรดทองจึงมีความสำคัญ ซึ่งแต่ละ โบรกเกอร์จะมีกลยุทธ์แตกต่างกันไป
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานกรรมการ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้นำเข้าทองคำรายใหญ่ในตลาด กล่าวว่า การเกิดโกลด์ฟิวเจอร์สเป็นการบีบบังคับให้กลุ่มธุรกิจทองคำต้องกระโดดเข้ามา ทำธุรกิจนี้ เพราะพฤติกรรมนักลงทุนเปลี่ยนจากเดิมที่ซื้อเก็บระยะยาวไปเรื่อย ๆ คนที่เข้าใจการลงทุนก็เห็นช่องทางมาทำกำไรระยะสั้นได้
ขณะเดียวกัน หากเทียบกับอัตราการเติบโตแล้วอย่างประเทศที่บริโภคทองติดอันดับโลกอย่าง อินเดีย ยังมีขนาดตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สใหญ่กว่าตลาดทองคำแท่งถึง 10 เท่า จึงคิดว่าตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สในไทยในระยะยาวไม่น่าจะแตกต่างกัน
แม้ อนาคตจะสดใส แต่การทำการตลาดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดึงให้นักลงทุนเข้ามาสนใจลงทุนได้ ทันที เพราะการเล่นทองกระดาษมีสิทธิ์ได้กำไรและขาดทุน 100% พอ ๆ กัน ดังนั้นกลยุทธ์การตลาดแต่ละแห่งจึงมีลีลาและกลเม็ด แตกต่างกันไปด้วย
ปัจจุบัน โบรกเกอร์ทองคำ 5 รายใหญ่ ได้แก่ บริษัท เอ็มที โกลด์ ฟิวเจอร์ จำกัด ของแม่ทองสุก, บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ จำกัด ของกลุ่มฮั่วเซ่งเฮง, บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ของ กลุ่มยูหลิม, บริษัท จีจีที เวลธ์ แมนจ์เมนท์ จำกัด ของกลุ่มสมาคมค้าทองเยาวราช และบริษัท ทีซี ออสสิริส ฟิวเจอร์ จำกัด ของกลุ่มบ้านช่างทอง บริษัทเหล่านี้ใช้ กลยุทธ์ด้วยตัวแทนการขาย (selling agent:SA) เพื่อสร้างวอลุ่มเทรดให้กับบริษัท
นายแพทย์กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกลุ่มบริษัท แม่ทองสุก เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด กล่าวว่า กลุ่ม SA ของบริษัทค่อนข้างจะแข็งแกร่งในเรื่องความพร้อมที่จะเข้ามาทำการตลาด เพราะบริษัทใช้เวลากว่า 4 เดือน ในการอบรมวางระบบให้ตรงกับมาตรฐานระบบที่ทางการกำหนด โดย SA ที่บริษัทได้วางฐานระบบบริการให้มีจำนวน 12 ราย ที่สามารถส่งวอลุ่มกลับมาให้บริษัทแล้ว ซึ่งเฉลี่ย 500-600 สัญญาต่อวัน
ดัง นั้นการเพิ่ม SA จึงเป็นกลยุทธ์หนึ่ง ส่วนอีกกลยุทธ์คือการพัฒนาเทคโนโลยีในการรองรับการเทรดให้ง่ายและคล่องตัว ล่าสุดเปิดตัว MST Clinic ในการติดตามผลการลงทุนให้ลูกค้าได้ 360 องศา ก็เป็นตัวช่วยให้ลูกค้า เห็นรูปธรรมมากขึ้น รวมทั้งการสัมมนาให้ความรู้ใน จังหวัดที่มี SA
วายแอลจีฯชูจุดขาย win-win
นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า บริษัทเป็นผู้นำเข้าทองรายใหญ่ในประเทศ ลูกค้าจึงเป็นกลุ่มค้าส่งในประเทศทั้งหมด 200-300 ราย และมีศักยภาพที่จะเป็น SA ให้กับบริษัทได้
กลยุทธ์หลักที่บริษัท ได้ใจลูกค้ามาจากการแนะนำการลงทุนที่รักษาผลประโยชน์ให้ลูกค้า จากการทำกำไร 2 ตลาด คือการทำกำไรจากส่วนต่างของราคาทองคำกับราคาโกลด์ฟิวเจอร์ส (arbitrage spread) ประกอบกับการที่เป็นธุรกิจทองต้นน้ำ จึงทำให้ได้เปรียบคู่แข่งรายอื่น ซึ่งลักษณะการลงทุนแบบนี้สามารถลงทุนได้ทุกจังหวะ โดยจะให้นักลงทุนซื้อทองแท่งและทำการซื้อสัญญาจะขายโกลด์ฟิวเจอร์ส (short) เพื่อไปดักขายทองแท่งช่วงราคาขึ้นและซื้อสัญญาจะซื้อโกลด์ฟิวเจอร์ส (long) ซึ่งที่ผ่านมาสามารถทำกำไรให้ลูกค้าได้เฉลี่ย 6-8% ต่อปี หรือสูงสุดอยู่ที่ 15% ต่อปี
ตอนนี้เตรียมที่จะเปิดทำการซื้อขายออ นไลน์ทองคำ ผ่านเว็บไซต์ที่จะทำให้ซื้อขายได้ถึง 02.00 น. เพราะปัจจุบันตลาดที่แอ็กทีฟที่สุดจะอยู่ที่ลอนดอนและนิวยอร์ก
อย่าง ไรก็ตามแม้ระบบ SA จะถูกใช้เป็นสูตรสำเร็จของโบรกเกอร์ทองคำ ทุกราย แต่บางราย อาทิ บริษัท จีที เวลธ์ แมนจ์เมนท์ ปรับโมเดลธุรกิจจากการขยายฐานลูกค้าผ่าน SA มาเน้นกลุ่มผู้ให้คำแนะนำลงทุน (investment advisor) แทน เนื่องจากกลุ่มร้านทองยังปรับตัวไม่ได้กับการทำความเข้าใจสินค้าโกลด์ฟิว เจอร์ส รวมทั้งต้นทุนการทำธุรกิจของร้านทองที่กว่าจะถึงจุดคุ้นทุนต้องใช้เวลาค่อน ข้างนาน เพราะบางร้านทองก็ไม่มีการซื้อขายทองแท่ง แต่จะให้ร้านค้าส่งเป็นผู้ทำแทน จึงขาดวอลุ่มจากกลุ่ม SA
โบรกเกอร์หุ้นท้าชน
ดัง นั้นเมื่อร้านค้าทองรายใหญ่ได้เข้ามารุกทำธุรกิจโกลด์ฟิวเจอร์สเพื่อรักษา ฐานธุรกิจทองคำของตัวเอง ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ก็เข้ามาทำธุรกิจนี้เพื่อให้บริการครบวงจรแก่ลูกค้าของตนเองเหมือนกัน ซึ่งฐานลูกค้าก็จะเป็นกลุ่มนักเล่นหุ้นที่มีความเข้าใจการเก็งกำไรอยู่แล้ว จึงทำให้ต้องงัดกลยุทธ์ออกมากินส่วนแบ่งตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สเพื่อสร้างรายได้ อีกขาหนึ่ง
โบรกเกอร์ที่ประกาศออกมาแล้วว่าจะใช้รูปแบบ คล้ายกับโบรกเกอร์ทองคำ ก็มีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก ที่มีการทำการตลาดผ่าน SA เช่นกัน แต่ที่ส่งไม้เด็ดสุดคือการเปิดตัวธุรกิจค้าทองคำแท่ง 99.99% มีน้ำหนักตั้งแต่ 5 บาท 10 บาท และ 50 บาท ซึ่งได้พันธมิตรสำคัญ Bullion Bank ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลกมาสนับสนุนโกลด์ฟิวเจอร์ส ซึ่งมีน้ำหนักตั้งแต่ 5 บาท 10 บาท และ 50 บาท โดยมีการเพิ่มช่องทาง ให้มีการลงทุนในทองคำแท่งควบคู่ไปกับโกลด์ฟิวเจอร์ส เพื่อเพิ่มช่องทางการทำกำไรผ่านระหว่างตลาด และ ยังเตรียมปูทางให้นักลงทุนสามารถแลกเปลี่ยนจาก สัญญาโกลด์ฟิวเจอร์สมาเป็นทองคำแท่งที่จับต้องได้อีกด้วย
นาย ธนพิศาล คูหาเปรมกิจ ที่ปรึกษาบริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ กล่าวว่า บริษัทพยายามทำให้เกิด one stop service ด้วยการเชื่อมสินค้าทองคำในกลุ่ม หลังจากโฮลดิ้งเข้ามาทำธุรกิจทองคำเต็มตัว ทำให้นักลงทุนสามารถทำกำไร 2 ตลาดได้ง่ายขึ้น หรือแม้จะมีการนำสินค้าตัวอื่นอย่างฟิวเจอร์ หรือหุ้น มาทำกำไร 2 ตลาดแทนในช่วงที่ราคาทองนิ่ง และเร็ว ๆ นี้ก็ได้มีการตั้งทีมขึ้นมาพัฒนาระบบโมเดลการลงทุน ซึ่งจะให้สัญญาณการซื้อและการขาย โดยจะใช้ข้อมูลสถิติราคาทองคำที่เคลื่อนไหวย้อนหลังในอดีตมาสร้างโมเดลนี้ ซึ่งจะทำให้ลูกค้ามีวิธีการจับทิศทางความเคลื่อนไหวของตลาดได้ง่ายขึ้น
"เชื่อ ว่าตอนนี้คนรุ่นใหม่ที่กำลังสร้างฐานะให้ตัวเองเป็นกลุ่มนักลงทุนที่สำคัญ บริษัทพยายามพุ่งเป้าขยายฐานไปยังกลุ่มนี้ให้มากขึ้น เพื่อชูความเป็นเพื่อนการลงทุน เราจะเน้นเป็นที่ปรึกษาเพื่อให้มั่นใจในการลงทุนมากขึ้น จะมีมาร์เก็ตติ้งที่ให้บริการที่ตรงกับสไตล์ลูกค้า นอกจากนี้เรามีแผนการตลาดและเน้นกิจกรรมอีเวนต์มากขึ้น เพื่อให้สามารถสื่อสารการลงทุนให้ลูกค้าเข้าใจง่ายขึ้น" นายธนพิศาลกล่าว
นอก จากนี้ บล.ฟิลลิปก็เป็นอีกเจ้าที่ต้องการเข้ามาชิงส่วนแบ่งการตลาดนี้ด้วย โดยอาศัยเทคโนโลยีจากบริษัทแม่ในสิงคโปร์ที่มีการดำเนินธุรกิจอนุพันธ์ใน หลากหลายสินค้าเข้ามาทำระบบการซื้อขายให้บริษัท โดยเฉพาะสินค้าโกลด์ฟิวเจอร์สที่สามารถแสดงราคาเรียลไทม์ของราคาทองคำในตลาด ปกติเป็นสกุลเงินบาท (real time gold spot price) โดยไม่ต้องรอประกาศราคาทองคำจากสมาคมผู้ค้าทองคำ รวมทั้งยังมีการจัดอบรมให้ความรู้นักลงทุนผ่านงานสัมมนาอยู่ตลอดเวลา