จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
คุณชาตรี โสภณพานิช
เมื่อวานได้พูดถึงจุดอ่อนสำคัญประเทศไทยไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น จุดอ่อนด้านการเมือง ด้านสังคม และปัญหาการคอร์รัปชัน
แต่ เมื่อพิจารณา "จุดแข็ง" มีอยู่มากเช่นกันโดยเฉพาะ ประการแรก ประเทศไทยมีสถาบันที่เป็นจุดรวมของจิตใจและคุณธรรมของคนในชาติที่ทรงพลังน่า พิศวงยิ่งนัก พวกเราจำเป็นจะต้องภูมิใจกับจุดแข็งของเราจุดนี้ให้มากที่สุด เพราะไม่มีชาติไหนเมืองไหนเขาสามารถสร้างสรรค์ขึ้นมาได้เลย และการที่ประเทศไทยสามารถผ่านพ้นวิกฤตการณ์รุนแรงต่างๆ หลายต่อหลายครั้งมาได้อย่างสงบเรียบร้อย โดยไม่มีเลือดตกยางออกเหมือนเช่นในประเทศอื่นๆ เขา
ก็เป็นเพราะไทยเรามีองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา เป็นจุดยึดเหนี่ยวที่สำคัญ เป็นจุดรวมของความศรัทธาและความสามัคคีของคนส่วนใหญ่ในประเทศนั่นเอง แต่ก็เป็นที่น่าเศร้าใจเป็นอย่างยิ่งที่ในปัจจุบันกลับมีคนกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังพยายามทำลายและแย่งชิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเปี่ยมค่าของเราไป พวกเราทุกคนจะต้องถือเป็นหน้าที่โดยตรง ที่จะต้องช่วยกันปกป้องรักษาสถาบันอันทรงค่าของบ้านเมืองเราให้ถึงที่สุด
จุดแข็งประการสำคัญลำดับที่สอง คือ สภาวะทางจิตใจของคนไทย โดยคนไทยถือเป็นคนที่มีใจดี ใจกว้าง ใครจะไปจะมา ใครจะทำอะไร นับถือศาสนาอะไรก็ไม่ว่ากัน บางคนอาจจะมองประเด็นนี้เป็นจุดอ่อน เพราะทำให้เราขาดเอกลักษณ์บางอย่าง และทำให้นักฉวยโอกาสและมิจฉาชีพสามารถแทรกตัวเขามาอยู่ในสังคมได้ง่าย แต่ถ้ามองกันในส่วนรวมจริงๆ การที่คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศนับถือศาสนาพุทธ ซึ่งโดยเนื้อแท้ก็ถือการให้อภัยและสันติในการดำรงชีวิตแล้ว มันก็เลยทำให้ไทยเราไม่มีปัญหาในเรื่องการนับถือศาสนา ไม่มีการแบ่งกลุ่มออกมาใช้กำลังฆ่าฟันกันในนามศาสนาอย่างเช่นในบางประเทศที่ สถานการณ์ลุกเป็นไฟ เพราะการบ้าคลั่งและแบ่งแยกกันในเรื่องของศาสนา ใครเข้ามาอยู่เมืองไทยก็มีความสุขความสงบกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนจีนโพ้นทะเล เป็นแขก เป็นฝรั่ง หรือใครๆ ทั้งนั้น ถ้าเข้ามาโดยไม่ผิดกฎหมายบ้านเมืองก็จะได้รับการยอมรับเหมือนคนไทยด้วยกัน ทั้งนั้น
เพราะจุดแข็งอันนี้แหละที่ได้นำมาซึ่งความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และความมั่งมีศรีสุขให้แก่ประเทศไทยมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีน้อยประเทศที่ประชาชนของเขาจะมีสภาพจิตที่เป็นมิตรกับคนต่างชาติมากเท่า กับคนไทยเรา นี่เมื่อไม่นานมานี้ ธนาคารโลกก็ได้จัดอันดับประเทศไทยให้อยู่ในอันดับที่ 12 จาก 183 ประเทศทั่วโลก ที่ชาวต่างประเทศถือว่าสะดวกและพอใจที่จะเข้ามาลงทุนและทำธุรกิจ จุดแข็งข้อนี้จำเป็นที่จะต้องรักษาไว้ เพราะมันเป็นปัจจัยหลักอันหนึ่งในการพัฒนาประเทศทีเดียว
ส่วนในประเด็นอื่นๆ ที่เป็นจุดดีของไทยก็คงจะมีอีกมาก อาทิเช่น สภาพทางภูมิศาสตร์ที่ดูจะได้เปรียบเพราะตั้งอยู่ ณ ศูนย์กลางของภูมิภาค ประเทศไทยมีสภาวะดินฟ้าอากาศที่อำนวย มีทรัพยากรมากพอสมควร และมีสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานทางเศรษฐกิจดี และประชาชนมีการศึกษาสูงมากประเทศหนึ่งของโลก ก็คงมีความสำคัญมากเช่นกัน แต่คงจะไม่โดดเด่นเท่ากับลักษณะไทยของเราดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว
แต่หากมองในแง่ของอุปสรรค และโอกาสของไทยในปัจจุบันและอนาคตแล้วหากพูดถึงเรื่องของเศรษฐกิจโดยเฉพาะ แล้ว อุปสรรคที่ร้ายแรงที่สุดของไทย ก็คือ “จุดอ่อน” ทางด้านการเมือง เพราะในปัจจุบันการพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจ โดยยกเว้นไม่เอาเรื่องการเมืองและสังคมภายในประเทศและที่เกิดขึ้นในต่าง ประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คงเป็นไปไม่ได้แล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจของไทยเป็นระบบ “เปิด” คือ เปิดกว้างสำหรับการค้าขายกับต่างประเทศมากจริงๆ รายได้จากการส่งสินค้าออกของเราปีหนึ่งก็ตกประมาณ 60-70% ของรายได้รวมทั้งหมดของประเทศทีเดียว
ปีใดเราส่งสินค้าออกได้มากปีนั้นคนไทยก็รวยมาก เมื่อใดเราส่งออกได้น้อย เศรษฐกิจเราก็ซบเซา นี่ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า เราต้องพึ่งพาอาศัยตลาดต่างประเทศอย่างมากเลย ถ้าประเทศเราขาดเสถียรภาพทางการเมือง มีแต่ความวุ่นวาย การลงทุนมีน้อย การพัฒนาสินค้าออกก็มีอุปสรรคเศรษฐกิจเราก็จะแย่ หรือถ้าต่างประเทศเขาไม่ซื้อสินค้าเรา เพราะเศรษฐกิจเขามีปัญหาเช่นในขณะนี้เป็นต้น เราก็จะขายสินค้าออกไม่ได้เศรษฐกิจก็เฉาลงทันที
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคด้านการส่งออกนั้น หากจะปรับเปลี่ยนให้หันมาพึ่งตลาดภายในประเทศมากกว่าการส่งออกนั้น คงจะทำไม่ได้ผลดีในระยะสั้นนะครับ เพราะจะต้องปรับทั้งด้านคุณภาพปริมาณราคาและประเภทของสินค้า ต้องใช้เวลามากหลายปีทีเดียว ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายจะได้ดีเป็นกอบเป็นกำเช่นเดียวกับตลาดส่งออกหรือไม่ก็ไม่ ทราบ เพราะการส่งออกจะต้องใช้เวลาหาตลาดผูกมิตรกับคู่ค้า ปรับปรุงคุณภาพสินค้าให้เขายอมรับ ต้องมีการลงทุน จ้างงาน ฝึกงาน และสร้างเทคโนโลยีที่เหมาะสมขึ้น ต้องใช้กำลังและเงินทุนมาก
(พรุ่งนี้ มาดู"โอกาส"ของประเทศไทยว่ามีอะไรกันบ้าง)