จากประชาชาติธุรกิจ
การ ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญา สหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 15 (Conference of the Parties : COP 15) ณ กรุงโคเปนเฮเกน เดนมาร์ก ในระหว่างวันที่ 7-18 ธันวาคมนี้ หลายประเทศก็กำลังเตรียมพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลง เพื่อแก้ปัญหาสภาวะโลกร้อน และลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งเป็นทั้งแรงผลักดันและแรงกดดันต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะกิจการด้านยานยนต์ พลังงาน ที่จะเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายที่เกิดขึ้น
ความ เคลื่อนไหวของภาคธุรกิจในเรื่องลดการปล่อยคาร์บอนมีให้เห็นเป็นระยะ มีหลายกิจกาปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและหลายบริษัทปรับ ตัวเนื่องจากเห็นถึงความจำเป็นในการรักษาสภาพแวดล้อม
ภาคธุรกิจใน ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์กำลังพยายามอย่างหนัก เพื่อปรับรูปแบบการดำเนินกิจการ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายการค้าคาร์บอน ที่รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศจะนำมาบังคับใช้
ในนิวซีแลนด์ กฎหมายการค้าคาร์บอนเครดิตผ่านรัฐสภามาแล้วเมื่อเดือนพฤศจิกายน ขณะที่ในออสเตรเลีย อยู่ระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภา
เวลานี้มีหลาย องค์กรธุรกิจทั่วโลกที่ เข้าร่วมในโครงการเปิดเผยปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ หรือ CDP (Carbon Disclosure Project) ซึ่งมีองค์กรไม่แสวงหากำไรเป็นผู้เก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับการเปลี่ยน แปลงสภาพภูมิอากาศของโลกผ่านการดำเนินงานขององค์กรธุรกิจเอกชน
ใน ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์มีบริษัทหลายแห่งเข้าร่วมโครงการนี้ อาทิ สถาบันการเงินของออสเตรเลียเป็น 4 ใน 11 รายสถาบันการเงินโลกที่เข้าร่วมจัดทำดัชนีผู้นำการเปิดเผยปริมาณคาร์บอน หรือ CDLI เพื่อจัดอันดับความสามารถในการบริหารจัดการลดการปล่อยคาร์บอนของบริษัท ขณะเดียวกันยังมีรายงานเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการปล่อย คาร์บอนของบริษัทด้วย
สถาบันการเงินทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ธนาคาร เอเอ็นซี, ธนาคารแห่งชาติออสเตรเลีย (NAB), ธนาคารเพื่อความมั่งคั่งออสเตรเลีย (CBA) และธนาคารเวสต์แพค
พร้อม กับธุรกิจด้านวัสดุและเหมืองแร่ ซึ่งธุรกิจเหมืองแร่รายใหญ่ของออสเตรเลีย ริโอ ตินโต และบีเอชพี บิลลิตัน เป็น 2 รายในลิสต์ที่มีดัชนี CDLI ในลำดับต้น ๆ นอกจากนี้ยังมีธุรกิจประเภทสื่อ เช่น นิวส์ คอร์ปอเรชั่น ธุรกิจด้านอุปโภคบริโภค ด้านอาหารและเครื่องดื่ม พลังงาน โทรคมนาคม อุตสาหกรรม และอื่น ๆ
ด้านนิวซีแลนด์มีบริษัทที่เข้าร่วมทำดัชนี CDLI อาทิ เฟลตเชอร์ บิวดิ้งค์, กีวี อินคัม พร็อพเพอร์ตี้ ทรัสต์, โอกแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล แอร์พอร์ต และซาน ฟอร์ด
อีกทั้งยังมี แบรนด์ระดับโลกอีกหลายแห่งที่เข้าร่วมในการเปิดเผยการปล่อยคาร์บอนด้วย เช่น เดลล์, เนสท์เล่, นิวส์ คอร์ป, ไนกี้, นินเทนโด, ทอมสัน รอยเตอร์ส, ยูนิลีเวอร์ และวอล-มาร์ต
ส่วนในสหรัฐอเมริกามีหลายบริษัทที่มี โครงการบันทึกการปล่อยคาร์บอนและวิเคราะห์ผล เช่น การกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนโดยสมัครใจ ในบริษัท เจเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี), ฟอร์ด มอเตอร์, เป๊ปซี่ โค ที่จัดตั้งทีมงานด้าน สิ่งแวดล้อมภายใต้ความร่วมมือในโครงการพันธมิตรปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศ แห่งสหรัฐอเมริกา หรือ United State Climate Action Partnership
ส่วน วอล-มาร์ตยักษ์ค้าปลีกได้จัดทำรายการเป้าหมายลดการบริโภคพลังงาน ในร้านค้าและแนะนำให้ซัพพลายเออร์ของบริษัทที่มีมากกว่า 100,000 ราย รายงานการใช้พลังงานและการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย
