สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

วิกฤติโลกดีกว่าวิกฤติภายใน

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
สัมภาษณ์พิเศษ - ปนัดดา เจณณวาสิน



ตลาด ปิกอัพปีนี้มีความท้าทาย ทั้งในแง่ของยอดขายรวมที่ยังคงได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการถดถอยของ เศรษฐกิจและตลาดรถยนต์ สัดส่วนการตลาดที่เปลี่ยนแปลง จากเดิมที่ครองสัดส่วนกว่า 60% ปัจจุบันเหลืออยู่แค่ 50% และหลายคนก็ยังเชื่อมั่นว่าจะลดลงไปมากกว่านี้ โดยเฉพาะหลังการมาของรถยนต์นั่งขนาดเล็ก แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงและไม่ลดลง ก็คือ ความเข้มข้นของการแข่งขัน การแย่งชิงพื้นที่ โดยเฉพาะสองยักษ์ใหญ่ อย่างโตโยต้าและอีซูซุ ซึ่งเมื่อผ่านไป 10 เดือน ทั้ง 2 ค่าย มีสัดส่วนตลาดที่ใกล้เคียงกันมาก โดยโตโยต้าทำได้ 40.8% ขณะที่อีซูซุ ทำได้ 39.8%

อย่างไรก็ตาม รองประธานบริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด  "ปนัดดา เจณณวาสิน" ยืนยันว่าทิศทางของอีซูซุในช่วงปลายปีดีขึ้น โดยเฉพาะหลังการไมเนอร์เชนจ์เป็น "ดีแมคซ์ ซูเปอร์ แพลทินัม"

ตลาดซูเปอร์ แพลทินัมเป็นอย่างไร
 ดีมาก โดยเฉพาะรุ่นที่ติดตั้งระบบนำทาง ที่เราเรียกว่า "ไอ-จินนี่" ได้รับการตอบรับดีมากเกินกว่าที่เราคาดไว้ ซึ่งแต่เดิมเราคิดว่าไอ-จินนี่จะมีสัดส่วนการขาย 15-20% แต่ปรากฏว่ามียอดขาย 35-40%

เหตุผลที่ ไอ-จินนี่ ได้รับการตอบรับที่ดี
เพราะเป็นครั้งแรกในตลาด ปิกอัพที่ติดตั้งระบบนี้ ปกติจะเห็นได้แค่ในรถยนต์นั่งเท่านั้น บวกกับการตลาดของอีซูซุ ที่เน้นการสื่อสารที่ง่ายๆ เราไม่บอกว่าอีซูซุมีซูเปอร์ แพลทินัม เนวิเกเตอร์ มันฟังดูยากเกินไป แต่เราเรียกว่า ไอ-จินนี่ และทำให้คนรับรู้ว่ามันคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร

ไอ-จินนี่ เป็นมากกว่าระบบนำทาง แต่เป็นเหมือนสัญลักษณ์และติดตลาดไปแล้ว ซึ่งที่มาของมันก็ไม่ได้มาจากความบังเอิญ เพราะเราเริ่มจากมีคนคิดออกมาแล้วทุกคนร่วมกันแสดงความคิดเห็น รวมถึงประธานด้วย

จริงๆ แล้วจะเห็นว่า เราไม่มีรถใหม่ทำตลาด แต่เรารู้จักหาสิ่งใหม่ๆ เข้ามาสร้างแรงดึงดูด หลายๆ เรื่องที่เราทำ ก็อาจจะดูไม่ใช่เรื่องพิเศษมากนัก แต่ อีซูซุ เป็นเจ้าแรกที่ทำ ที่ผ่านมา ก็เช่น การมีกล้องมองหลัง มาจนถึงไอ-จินนี่ และก็ประสบผลสำเร็จอย่างดี

ในเมื่อไม่ใช่เรื่องซับซ้อน ไม่กลัวว่าค่ายอื่นๆ ก็ทำได้บ้างหรือ

ไม่กลัว เพราะเราได้ชื่อว่าเป็นคนแรกที่ทำ

ถ้ามีใครทำตาม อีซูซุ จะหนีไปทางไหน

ยังไม่คิดตอนนี้ แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าเราคิดอะไรใหม่ๆ ออกมาได้เสมอ

คิดอย่างไรกับการที่หลายคนวิเคราะห์ว่าปิกอัพซึ่งเป็นตลาดหลักของอีซูซุจะหดตัวลง

อีซูซุ ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้น จริงอยู่ที่ว่าทุกวันนี้ใครก็พูดถึงรถเก๋งขนาดเล็ก ซึ่งเราก็เชื่อว่าจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน แต่ว่าจะไม่กระทบกับปิกอัพ อีซูซุยังเชื่อว่าเป็นคนละตลาดกัน

ทั้งนี้อีซูซุก็เข้าใจดีกว่า ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา การหดตัวของเศรษฐกิจ ที่ส่งผลให้ยอดขายรถหดตัวอย่างรุนแรง โดยเฉพาะปิกอัพที่ตกลงมากที่สุด ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเข้มงวดของสถาบันการเงิน ทำให้ลูกค้ากลุ่มเกษตรกรได้รับผลกระทบอย่างมาก เพราะไม่มีรายได้ประจำ

ถึงไตรมาสที่ 4 เห็นได้ชัดเจนว่าทุกอย่างดีขึ้น แม้จะหดตัวแต่ก็น้อยลง ไฟแนนซ์เองก็ผ่อนคลายเงื่อนไขลง เพราะทุกคนเข้าใจแล้วว่า ผลกระทบจากวิกฤติโลกนั้นน้อยกว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นภายในประเทศเอง เช่น วิกฤติปี 2540 ที่เกิดจากบ้านเรา แล้วขยายออกไปต่างประเทศ

อีกทั้งขณะนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐก็ได้ผลเป็นอย่างดี ราคาน้ำมันก็เริ่มมีเสถียรภาพอีกด้วย

อะไรคือสิ่งที่น่ากังวลที่สุด
 1.น้ำมัน 2.การเมือง 3.อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของบางประเทศที่ลดลง ซึ่งข้อ 3 นี้ อาจจะไม่กระทบกับตลาดรถยนต์โดยตรง แต่กระทบกับสินค้าอื่นๆ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าไทยนั้นพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก ดังนั้นหากสินค้าส่งออกได้รับผลกระทบ ก็อาจส่งผลมายังอุตสาหกรรมรถยนต์ได้

ส่วนของการเมือง ก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไร แต่ผู้บริหารญี่ปุ่นของอีซูซุ ค่อนข้างจะเชื่อมั่นในด้านการเมืองของไทยว่าแม้จะมีปัญหา แต่ก็แค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น

คาดว่าปีหน้าตลาดรถยนต์จะปิดตัวเลขเท่าไร

6 แสนคัน เพิ่มจากปีนี้ที่น่าจะทำได้ 5.4-5.5 แสนคัน

 

view