จากประชาชาติธุรกิจ

วันนี้ คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ จัดเสวนาเรื่อง "ขอพื้นที่ให้สติ และปัญญาบ้าง" โดยได้รับเกียรติจากอดีตคณบดี คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ 4 ท่าน มาขึ้นเวทีพร้อมกัน โดยมีความเห็นตรงกันว่า ประเทศไทยจะก้าวผ่านความขัดแย้งได้ด้วยสติและปัญญา ตั้งในเหตุและผล พร้อมทั้งวอนสังคม อย่าตีตรานักวิชาการ ให้คิดวิเคราะห์บนความเป็นกลาง

วันนี้ เมื่อเวลาประมาณ 15.30 น. คณะนิติศาสตร์ ร่วมกับสมาคมนิสิตเก่านิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดเสวนาเรื่อง "ขอพื้นที่ให้สติ และปัญญาบ้าง" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ "เสรีภาพทางการแสดงออกทางวิชาการเพื่อแสวงหาสติและปัญญาสู่สังคมไทย" ณ ห้องประชุมสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ชั้น 4 อาคารเทพทวาราวดี คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ
เนื่องจากว่าในเวลานี้ ได้เกิด "วงเกลียวแห่งความเงียบ" ขึ้นในวงวิชาการ ซึ่งมีสาเหตุจากความแตกต่างทางความคิด ความยึดมั่นในแนวทางของตน จนกลายเป็นความแตกแยก ทำให้การออกมาแสดงความคิดเห็นของนักวิชาการนั้นถูกกลืนหายไปภายใต้การตีตรา จัดเข้ากลุ่มพวกใดพวกหนึ่ง หรือหลายครั้งที่ความคิดเห็นเหล่านั้นถูกนำไปใช้เป็นอาวุธเพื่อสนับสนุนแนว คิดของฝ่ายต่างๆ
งานในวันนี้ ได้รับเกียรติจากอดีตคณบดี คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ 4 ท่าน มาร่วมเสวนากัน โดยผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจออนไลน์เก็บรายละเอียดมารายงาน ดังนี้....   ศาสตราจารย์พิเศษ ประสิทธิ์ โฆวิไลกูล อดีตคณบดีผู้เป็นอาจารย์ของอดีตคณบดีทั้ง 3 ท่าน ออกตัวอย่างเกรงๆ เพราะว่าหัวข้อนี้เป็นเรื่องใหญ่
ทั้งยังได้โยนคำถามขึ้นมาว่า "จะเอาคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ไปคืนได้ที่ไหน เพราะผลล้มเหลว"
อาจารย์อาวุโสยังได้ตั้งข้อสังเกตขึ้นมาอีกว่า น่าแปลกที่วิกฤตทางกฎหมายเกิดง่าย แต่แก้ยาก ขณะที่วิกฤตเศรษฐกิจกลับมีทางออกของมัน ดูจากตัวเลขจีดีพีขณะนี้อยู่ที่ 3% และมีความเป็นไปได้จะขึ้นถึง 4.5%
ทั้งประเทศไทยยังได้รับการจัดอันดับจากประเทศสวีเดนซึ่งเป็นอันดับต้นๆ เรื่องงานสำรวจ ระบุว่า ไทยเป็นเมืองน่าเที่ยวอันดับ 1 กี่สมัยติดต่อกันแล้วไม่ทราบได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่ให้ไทยมีความร้อน ฝรั่งจึงหนีหนาวมาเที่ยว
แต่ในอีกด้านหนี่ง ไทยกลับได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่น่าจะมีการก่อการร้ายมากที่สุด เป็นอันดับที่ 9 ขนาดที่ฟิลิปปินส์ยังถอยให้เรา โดยฟิลิปปินส์อยู่อันดับที่ 10
การที่ประเทศไทยต้องประสบพบเจอกับปัญหาที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ถามว่า ทั้งหมดต้องการอะไร.....แพ้ และ ชนะ
ถามต่อว่าแล้วในเวลานี้ใครแพ้ ใครชนะ
อาจารย์ประสิทธิ์บอกว่าใครชนะนั้นปล่อยเขา แต่คนแพ้คือ ประเทศชาติ แผ่นดิน และประชาชนคนไทย
ทั้งที่เมื่อ พิจารณาในทางพุทธ กฎของธรรมชาตินั้นชี้ชัด เรามาจากธรรมชาติ วันหนึ่งเราต้องกลับคืนสู่ธรรมชาติ ไม่มีสิ่งใดติดตัวไป
วันนี้แทนที่เราจะใช้ สติ ปัญญา ในการแก้ไขขับเคลื่อน แต่กลับเป็นว่าเราใช้ โลภะ โมหะ และโทสะ มาบันดาลใส่กัน
แทนที่จะคิดถึงเหตุ ปัจจัย คิดถึงทางสายกลาง ดันกลับไปยึดติดกับตัวเอง ถูก ถูก ถูก ทุกคนต่างถูก เช่นนั้นแล้วจะนำมาซึ่งการแก้ปัญหาได้อย่างไร   ด้านรศ.ดร.สุรเกียรติ เสถียรไทย ขอกล่าวถึงประเทศไทย มิใช่รัฐบาลไทย โดยบอกว่าในเวลานี้ กำลังเป็นห่วงประเทศไทยในหลายด้าน
ในเวลานี้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศ ซึ่งทั้งหมดต้นตอของปัญหาก็เกิดจากภายในของเราที่ไม่นิ่ง อันจะกระทบกับความเศรษฐกิจ การเมือง ความมั่นคง รวมไปถึงความสุขสงบร่มเย็นของคนในชาติ รวมไปถึงความเชื่อมั่น ความไว้วางใจที่ต่างชาติมีต่อประเทศไทย เอาเฉพาะแค่การประชุมอาซียน+3 และ +6 ที่เราเป็นประธาน แต่ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ กรณีที่พัทยามีให้ประจักษ์กันแล้ว
ไหนจะยังปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เรื้อรังมาเป็นเวลานาน ทั้งนับวันจะมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ไหนจะมีปัญหาความเสี่ยงต่อการแตก แยก เพราะในเวลานี้ เราไม่สามารถคุยกันเรื่องการเมืองได้ คุยแล้วเกิดเรื่อง ทะเลาะกัน สามีภรรยาต้องหย่ากันเพราะเรื่องการเมือง
และในเวลานี้ สังคมไทยมีการเผชิญหน้ากันทางกฎหมาย เรื่องนิดเรื่องหน่อยก็ฟ้องกัน คือมิใช่ว่าคนหันมาใช้กฎหมายนั้นไม่ดี แต่มันขึ้นกับเรื่องความสมควร
นอกจากนี้ สังคมไทยกำลังห่างไกลกับคำว่า พอเพียง ซึ่งเรามักจะพูดถึง รู้ว่าดีแต่มิอาจปฏิบัติให้สอดคล้องกลมกลืนได้เป็นรูปธรรม ที่สำคัญอย่างยิ่งในเวลานี้ คือสังคมไทยกำลังก้าวไปสู่สังคมที่มิใช่สังคมแห่งการเรียนรู้ เพราะใช้แต่อารมณ์และความรู้สึกส่วนตัวในการตัดสินใจ มิได้วางอยู่บนข้อเท็จจริง หลักการและเหตุผล เช่นนั้นแล้ว คำถามคือ สังคมนี้จะสามารถหาทางออกกับปัญหาต่างๆ ได้อย่างสันติวิธีหรือไม่ เพราะเรามัวแต่เผชิญหน้ากัน เอาชนะกัน คานกันไปมา สิ่งที่เคยเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของคนไทยอย่าง แบ่งปัน มีน้ำใจเอื้ออาทรนั้นมีแต่ละลดน้อยลงทุกวัน
ขณะที่ รศ.ธงทอง จันทรางศุ ได้โยนบางเหตุการณ์ขึ้นมาในอากาศ
"จีที 200 เสียเงินไปอย่างไม่คุ้มค่า ผลการวิจัยก็ออกมาแล้ว แต่ก็ยังมีคนเห็นต่างอยู่...
เด็กกินยาแก้ไอ เพราะหลงเชื่อว่า ครูตีไม่เจ็บ......
ยาหยอดตาป้าเช็ง ที่หยอดแล้วตาบอด จนต้องผ่าตัดกันไป....."
ทั้งหมดนำมาซึ่งคำถามว่า เหตุผล สติปัญญาอยู่ที่ไหน
มหาวิทยาลัยแตกต่างจากโรงเรียนสอนอาชีพ ที่มุ่งสอนอาชีพเพื่อให้ไปประกอบอาชีพ แต่มหาวิทยาลัยสอนมากกว่านั้น ต้องเป็นบ่อเกิดขององค์ความรู้
นักวิชาการทั้งหลายต่างแหยงกับ เสรีภาพทางวิชาการในองค์ความรู้ ในช่วงปี 2550 เป็นต้นมา เพราะผู้ฟังไม่หยิบมาวิพากษ์วิจารณ์ความจริงสักกี่มากน้อย แต่กลับไปมองไกลกว่านั้นว่า ใครได้ประโยชน์ และใครเสียประโยชน์ เช่นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในประเด็กหลักเรื่องเขตเลือกตั้งถามว่าจริงๆแล้ว ไม่ว่าจะแบบไหนมันก็มีทั้งดีและไม่ดี มีข้ออ่อน ข้อแข็ง ด้วยกัน แต่เราไม่พิจารณาตรงนั้นกลับไปมองว่าใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์
มาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ระบุเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน มีได้ตราบเท่าที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรมอันดี แต่ปรากฏว่า วันนี้นักวิชาการต่างแหยง เพราะกลัวจะถูกตีตราว่ามีพวก เพราะคนเราไม่คิดพิเคราะห์ด้วยหลักของเหตุและผล
สรุปสั้นๆ ว่าหลักกาลามสูตร 10 ประการ
   1. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
   2. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
   3. อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
   4. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
   5. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
   6. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
   7. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
   8. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
   9. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
  10. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
 
รศ.ธิติพันธุ์ เชื้อบุญชัย อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์อีกท่านหนึ่งกล่าวว่า หลายปีก่อนหน้านี้เคยมีอาจารย์คณะเภสัชท่านหนึ่งได้ทำงานวิจัยเชิงลึกเกี่ยว กับอาหารเสริมสาหร่ายสไปรูรีน่า ผลงานวิจัยนั้นได้บ่งชี้ว่าสาหร่ายดังกล่าว ซึ่งอาจารย์ใช้คำว่าสาหร่ายเกลียวทอง ไม่ได้มีคุณสมบัติตามที่กล่าวอ้างไว้
ผลสืบเนื่องจากการนั้นปรากฏว่า อาจารย์ถูกตำรวจสั่งฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาท และถูกฟ้องจากจังหวัดเชียงใหม่ ทำให้อาจารย์ท่านนั้นซึ่งมีสุขภาพไม่ดี ต้องเดินทางไปให้ปากคำต้องเสียเวลา รวมถึงค่าใช้จ่ายอีกมากเพื่อต่อสู้คดี แต่ในที่สุดด้วยความช่วยเหลือจากอัยการ ที่พิจารณาเนื้อหาของงานวิจัยและสั่งไม่ฟ้องในที่สุด
เครื่องหมายคำถามจึงเกิดขึ้นว่า ถ้าในวันนั้น อาจารย์ท่านนั้นต้องคดี วันนี้เราจะมีการวิจัยที่นำมาซึ่งการเปิดโปงจีที 200 หรือไม่ หรือคำปณิธานที่ว่า จุฬาฯ ต้องเป็นเสาหลักให้บ้านเมืองจะเกิดขึ้นหรือไม่