จากประชาชาติธุรกิจ
อดีต...กว่า 20 ปีก่อน "ซาอุดีอาระเบีย" เป็นขุมทองของเหล่าแรงงานไทย ที่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปขายแรงงานต่างแดน เพื่อ ส่งเงินกลับมาให้ครอบครัวได้มีอยู่มีกินสบายกว่าเดิม ว่ากันว่าสมัยนั้นมีแรงงานไทยไปทำงานในประเทศตะวันออกกลางแห่งนี้มากถึง 450,000 คน
แต่ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกลับต้องสะบั้นลง แรงงานไทยถูกส่งกลับประเทศ พร้อมห้ามชาวซาอุดีอาระเบียเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย และลดระดับความร่วมมือทวิภาคีระดับสูงในทุก ๆ ด้าน หลังจากเกิดคดียักษ์ 3 คดีที่ซาอุดีอาระเบียยังคงติดตามความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องมานานถึง 20 ปี ทั้งคดีการหายไปของเพชรบลูไดมอนด์ของราชวงศ์ไฟซาล คดีการลักพาตัวและสังหาร นายมูฮัมหมัด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย ในปี 2533 และคดีสังหารนักการทูตซาอุดีอาระเบียในไทย 3 คนในปีเดียวกัน ตั้งแต่ปีนั้น รัฐบาลซาอุดีอาระเบียลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย เหลือแค่ระดับอุปทูตเท่านั้น
และล่าสุดหลังจากรอคอยมานาน 20 ปี เมื่อวันที่ 12 มกราคมปีนี้ อัยการได้สั่งฟ้อง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และพวกรวม 5 คน เป็นผู้ต้องหาในคดีสังหารนายอัลรูไวลี่
ปัจจุบัน...
เมื่อวัน ที่ 24 กุมภาพันธ์ นายนาบิล เอช. อัชรี อุปทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทย ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษแก่ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ความคืบหน้าล่าสุดที่เกิดขึ้นเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมา ถือเป็น ก้าวสำคัญของไทยในการคลี่คลายคดีสำคัญที่เกี่ยวข้องกับซาอุดีอาระเบีย หลังจากที่ต้องรอคอยมานานถึง 20 ปี ที่ผ่านมา นับตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งเมื่อ ปี 2549 ได้พบกับรัฐบาล 5 รัฐบาล ก็ได้รับแต่คำมั่นสัญญาว่าจะทำ จะทำ แต่ก็ไม่มีอะไรชัดเจนเกิดขึ้น ทว่า นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ประกาศตั้งแต่สัปดาห์แรกของการรับตำแหน่งว่า การฟื้นความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียคือภารกิจสำคัญของรัฐบาลนี้ และวันนี้ก็ได้พิสูจน์ว่ามีความคืบหน้าเกิดขึ้น
"ผมเชื่อว่าเราเห็น แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แล้ว และกำลังเดินไปในทิศทาง ที่ถูกต้อง ผมเชื่อว่าจะเดินไปสู่ปลายอุโมงค์ จะเห็นแสงสว่างทั้งหมด ไม่ใช่แค่แสงเล็ก ๆ เท่านั้น"
ต่อประเด็นการฟื้นความสัมพันธ์กับไทยนั้น ท่านอุปทูตเชื่อมั่นและหวังว่าวันหนึ่งในอนาคต ไทยกับซาอุดีอาระเบียจะฟื้น ความสัมพันธ์ไปสู่ระดับปกติอีกครั้ง ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าไทยจะต้องแก้ปัญหาที่บั่นทอนความสัมพันธ์ดังกล่าวให้ ลุล่วง โดยสิ่งที่ซาอุดีอาระเบียต้องการคือ การเห็นความยุติธรรม และ เมื่อคดีทั้ง 3 คดีได้รับการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมจนถึงที่สุด ซาอุดีอาระเบียก็พร้อมฟื้นความสัมพันธ์กับไทย
โดย ทูตได้ย้ำว่า "เมื่อแก้ปัญหาเสร็จสิ้น เราจะทำให้มั่นใจว่าความสัมพันธ์จะดีเหมือนสมัยก่อน จริง ๆ ผมไม่ได้ต้องการให้ความสัมพันธ์เป็นแบบสมัย 20 ปีก่อน แต่ต้องการให้ดีกว่านั้นมาก เพราะตอนนี้ไทยมีโอกาสมากมาย มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย เป็นประเทศสำคัญในภูมิภาคนี้ เช่นเดียวกับซาอุดีอาระเบียที่มีหลายสิ่งที่ไทยต้องการ และเป็นประเทศใหญ่ในตะวันออกกลาง ดังนั้นเราจะสามารถร่วมมือกันได้ในหลาย ๆ ด้าน"
ที่ผ่านมาซาอุดีอาระเบียให้ความสำคัญกับคดีทั้ง 3 คดีในระดับเดียวกัน แต่ที่ดีเอสไอหยิบยกคดีฆาตกรรมนักธุรกิจมาดำเนินการก่อนนั้น ก็เพราะมีหลักฐานมากที่สุด จนสามารถสั่งฟ้องผู้ต้องหาได้ และศาลจะนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 29 มีนาคมนี้ ซึ่งทางซาอุดีอาระเบียคาดหวังถึงความบริสุทธิ์ และความเที่ยงธรรมในการพิจารณาคดีที่ปราศจากการแทรกแซงใด ๆ หรือ อิทธิพลต่าง ๆ และซาอุดีอาระเบีย ชื่นชมความพยายามล่าสุดของทางรัฐบาลไทยและต้องการที่จะเห็นความยุติธรรมด้วย
สำหรับ คดีสังหารนักการทูต ท่านอุปทูตมองว่าเป็นคดีค่อนข้างพิเศษ เพราะถูกสังหารขณะดำรงตำแหน่งอยู่ และถือเป็นคดีอาชญากรรมข้ามชาติหรือการก่อการร้ายต่อบุคคลที่ได้รับการคุ้ม ครองทางเอกสิทธิ์ อีกทั้งยังมีผลกระทบอย่างมากกับความสัมพันธ์ทางการทูต ทางเศรษฐกิจและทางสังคมระหว่าง 2 ประเทศ ดังนั้นเชื่อว่าต้องให้ความสำคัญดูแลคดีเป็นพิเศษ หรือมีเครื่องมือทางกฎหมายที่พิเศษเพื่อที่จะจัดการกับเรื่องดังกล่าว และไม่มีใครควรหนีรอดจากเงื้อมมือของความยุติธรรม
ส่วนอีก 1 คดีที่ครึกโครมมากอย่างคดีขโมยเพชรซาอุฯ ซึ่งรวมทั้งเพชร "บลูไดมอนด์" นั้น การโอนคดีให้กับดีเอสไอนับเป็นก้าวแรกในการแก้ไขคดีพิเศษนี้ นอกจากนี้ท่านอุปทูตได้อธิบายความสำคัญของคดีนี้เป็นข้อ ๆ ว่า ประการแรก สิ่งที่เป็นของคนอื่น ควรถูกนำส่งคืนเจ้าของ ประการที่ 2 ความยุติธรรมต้องได้รับการพิสูจน์และสนับสนุนโดยทุก ๆ คน ดังนั้นไทยต้องทำคดีนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน และแสดงให้เห็นว่า ความยุติธรรมได้เกิดขึ้นแล้ว และประการสุดท้ายที่สำคัญคือสิ่งมีค่านี้ไม่ได้เป็นเพียงวัตถุทั่วไป แต่ยังเป็นสิ่งพิเศษมากและมีคุณค่าทางจิตใจต่อราชวงศ์ซาอุฯ และเป็นมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น
"ผมเป็นคนมองโลกในแง่ดี และเชื่อว่าหากตั้งใจหาจริง ๆ ก็จะพบเพชรบลูไดมอนด์"
แม้การสืบสวน คดีพิเศษ 3 คดีนี้ยังไม่ถึงจุดสุดท้าย แต่อุปทูตอัชรีก็แสดงความเชื่อมั่นว่าจะประสบความสำเร็จในที่สุด เพราะตั้งแต่ก้าวแรกที่รับตำแหน่งในเมืองไทย ก็คิดว่าจะต้องส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและซาอุดีอาระ เบียให้ดีขึ้น พร้อมกับบอกว่า "ถ้าคุณมีเพื่อนที่ดีแบบที่ผมมีในประเทศไทย และมีความปรารถนาที่จะฟื้นความสัมพันธ์แบบที่ผมปรารถนา เราก็จะสามารถฟื้นความสัมพันธ์ได้ เรารู้ว่าคนไทยนิสัยดี เราต้องการร่วมมือกับไทย ไม่ใช่แค่ระดับรัฐบาลเท่านั้น แต่ในระดับประชาชนด้วย"
อนาคต...
หากทุกคดีผ่านกระบวนการ ยุติธรรมจนถึงที่สุดแล้ว ความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและซาอุดีอาระเบียก็จะฟื้นคืนมาอีกครั้ง โดยอุปทูตอัชรีเล่าว่า ปัจจุบันซาอุดีอาระเบียมีการลงทุนมหาศาลใน หลายประเทศในภูมิภาคนี้ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย อินเดีย และจีน พร้อมตั้งเป้าว่าในปี 2558 จะเพิ่มการลงทุนในจีนอีก 50% และโดยส่วนตัวแล้ว ในช่วงนั้น ก็หวังว่าซาอุดีอาระเบียจะเพิ่มการลงทุนในไทยเช่นกัน ซึ่งซาอุดีอาระเบียมีโครงการสำคัญมูลค่าหลักพันล้านดอลลาร์ อีกทั้งต้องการร่วมมือกับทั้งภาครัฐและบริษัทเอกชน ทั่วไป
นอก จากนี้ยังกล่าวถึงปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ตนมักพูดเสมอว่า ซาอุดีอาระเบียมีโครงการใหญ่สำหรับจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ไม่เฉพาะสำหรับ พี่น้องมุสลิมเท่านั้น แต่เพื่อ ชาวไทยทุกกลุ่ม "ผมรู้ว่าปัญหาในภาคใต้มาจากการไม่ได้รับการศึกษาที่เพียงพอ ไม่มีงานเพียงพอ ซาอุดีอาระเบียต้องการทำโครงการใหญ่ เพื่อช่วยให้หลายพันครอบครัวมีงานทำในบริษัทหรือโรงงาน มีนักธุรกิจซาอุดีอาระเบียจำนวนมากที่อยากให้ ความสัมพันธ์ฟื้นคืนมา ต้องการมาขยายธุรกิจในไทย ขณะที่นักธุรกิจไทยก็ต้องการขยายธุรกิจในซาอุฯ แต่ตอนนี้ทุกคนกำลังรอเวลาอยู่ ผมหวังว่าเมื่อปัญหา ได้รับการแก้ไข และมีการฟื้นความสัมพันธ์ เราจะไม่ใช่แค่สร้างงานให้แก่คนใน หลักร้อยหรือหลักพัน แต่อาจเป็นล้านคน"
เช่นเดียวกับด้านการท่อง เที่ยวที่ท่านอุปทูตเผยว่า ท่านรักเมืองไทยมากและมีความสุขที่ได้มาทำงานที่นี่ ส่วนชาวซาอุดีอาระเบียก็รู้จักเมืองไทยดี รักเมืองไทย
"พวกเรารอวัน ที่ปัญหาต่าง ๆ ถูกแก้ไข และจะได้กลับมาเยือนเมืองไทยอีกครั้ง ผมแน่ใจว่า ชาวซาอุดีอาระเบียจะพอใจมาก"
และจากจำนวนประชากรซาอุดีอาระเบียราว 26 ล้านคน ก็คาดว่าน่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยประมาณ 8 แสน-1 ล้านคนต่อปี ขณะที่ทางซาอุดีอาระเบียเองก็ค่อย ๆ เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ใช่ผู้แสวงบุญเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน โดยปัจจุบันมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่อปีมากพอ ๆ กับที่ไทยมี
ท่าน อุปทูตหวังว่าเมื่อมีการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ ก็จะทำให้มีการค้าขายระหว่างกันมากยิ่งขึ้น ซาอุดีอาระเบียสามารถส่งน้ำมันมาขายไทยได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องผ่านประเทศที่ 3 อีกต่อไป ตลอดจนจะเปิดโอกาสแรงงานไทยสามารถกลับไปทำงานในซาอุดีอาระเบียอีกครั้ง และอาจสูงเป็นหลักล้านก็ได้ จากปัจจุบันที่มีแรงงานไทยทำงานอยู่ในซาอุดีอาระเบียราว 1 หมื่นคน ซึ่งทั้งหมดเป็นแรงงานที่อยู่ที่นั่นตั้งแต่ 20 ปีก่อน และยังมีชาวไทยอีกจำนวนหนึ่งที่เป็นนักธุรกิจและเป็นพลเมืองของซาอุดีอาระ เบียไปแล้ว
"ซาอุดีอาระเบียยังต้องการแรงงานไทยอยู่เสมอ เพราะคนไทยไม่ค่อยสร้างปัญหา"
จากปัจจุบัน...สู่อนาคต
ใน ชีวิตการทำงานในวงการทูต 30 ปี รวมเวลาเกือบ 4 ปีในการดำรงตำแหน่งในเมืองไทย อุปทูตอัชรี เผยความในใจว่า "คุณรู้ไหมครับ ที่กระทรวงผมบอกว่า ผมกลายเป็นคนไทยแล้ว เชื่อผมเถอะครับ หลังจากใช้ชีวิตในเมืองไทยมา 3 ปีครึ่ง ผมรักเมืองไทย ผมต้องการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว เพื่อความสัมพันธ์จะได้ฟื้นกลับมา ผมมีความสุขที่ได้มาประจำในประเทศไทย สำหรับผมแล้ว ไทยเป็นประเทศที่ดีที่สุดในภูมิภาคนี้ และผมต้องการให้ทั้ง 2 ประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน