จาก โพสต์ทูเดย์

โดย...นพ.วิชัย โชควิวัฒน กรรมการสุขภาพแห่งชาติ

นํ้าท่วมปีนี้นับเป็นมหาอุทกภัยทั้งในแง่ของความรุนแรง รวดเร็ว กว้างขวาง ก่อความเสียหายและความเดือดร้อนแก่ประชาชนคนไทยมากที่สุด เฉพาะในกรุงเทพมหานคร (กทม.) แม้จะไม่ท่วมครอบคลุมทุกพื้นที่อย่างคราวน้ำท่วมเมื่อปี พ.ศ. 2485 เพราะมีการระดมป้องกันอย่างเต็มที่แต่ความเสียหายและความเดือดร้อนของน้ำ ท่วมปีนี้สำหรับชาว กทม.โดยรวมน่าจะหนักหนาสาหัสกว่าเมื่อปี พ.ศ. 2485 เพราะชีวิตความเป็นอยู่ทุกวันนี้มีความซับซ้อนและมีความเครียดพื้นฐานเป็น ทุนเดิมสูงกว่า และน้ำที่ท่วมก็เน่าเสียรวดเร็วกว่าแต่ก่อนมากด้วย

สิ่งที่น่าวิตกก็คือ แทนที่จะไม่มีน้ำท่วมเช่นนี้เกิดขึ้นกับเมืองไทย “อีกชั่วกัลปาวสาน” อย่างที่ “ดร.โกร่ง” วีรพงษ์ รามางกูร พยายามบอกกับนักลงทุนต่างชาติ น่าเชื่อว่าประเทศไทยจะประสบปัญหามหาอุทกภัยรุนแรงขึ้นและถี่ขึ้น ยิ่งกว่านั้นยังน่าจะต้องเผชิญกับ “มหาภัยพิบัติ” อื่นๆ รุนแรงขึ้นและถี่ขึ้นอีกด้วย

เมื่อหลายเดือนก่อน นิตยสารไทม์ได้ “ทำนาย” ว่าเพราะปัญหาโลกร้อนจะทำให้เกิดภัยพิบัติที่รุนแรงเป็น “มหาภัยพิบัติ” ถึง 5 ประการ คือ

1) น้ำท่วม (อุทกภัย) รุนแรง ฉับพลัน เพราะโลกร้อนทำให้น้ำจากผิวโลก ทั้งจากบนบกคือน้ำผิวดินต่างๆ และจากท้องทะเลมหาสมุทรระเหยมากขึ้น ทำให้เกิดฝนตกแรงกว่าแต่ก่อนมาก ถ้าตกมากในท้องทะเลมหาสมุทรก็แล้วไป แต่ถ้าตกบนบกที่ไหนก็มีโอกาสเกิดน้ำท่วมรุนแรง ฉับพลัน ได้ที่นั่น ดังปรากฏว่าปีนี้มีน้ำท่วมใหญ่ทั้งที่เวียดนาม กัมพูชา และที่อื่นๆ อีกหลายประเทศ

2) ความแห้งแล้ง (ฉาตกภัย) จากโลกร้อนเช่นเดียวกัน เพราะอุณหภูมิของโลกที่เพิ่มขึ้นประกอบกับการตัดไม้ทำลายป่าที่เกิดขึ้น อย่างกว้างขวางรุนแรงทั่วโลก ดังปรากฏว่า หลังเกิดน้ำท่วมไม่นาน จะมีปัญหาแม่น้ำบางสายและเขื่อนบางแห่งน้ำแห้งหายจนเห็นพื้นดิน ท้องน้ำ หรือท้องเขื่อนแห้งผากจนผืนดินแตกระแหง

3)ลมพายุ (วาตภัย) เพราะโลกร้อนทำให้มวลอากาศลอยตัวสูงโดยรวดเร็ว เมื่อมวลอากาศที่เย็นกว่าพัดเข้ามาแทนที่ฉับพลันทำให้ก่อตัวเป็นพายุ ดังปรากฏว่าไต้หวันซึ่งตั้งอยู่ในเขตลมพายุต้องเผชิญกับพายุรุนแรงเฉลี่ยปี ละครั้งทุกปี แต่ปีที่แล้วมีพายุเข้าถึง 12 ครั้ง เมื่อไม่กี่เดือนก่อนเกิดวาตภัยรุนแรงในสหรัฐ เพียงสองวันเกิดพายุพัดเข้าฝั่งกว่า 230 ลูก จากลมพายุมักตามมาด้วยฝนตกหนักทำให้เกิดน้ำท่วมตามมาด้วย

4) เนื่องจากโลกร้อนทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย แกนของโลกเปลี่ยนทำให้เปลือกโลกมีการเคลื่อนที่จัดตัวใหม่ ทำให้แผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้น โดยอาจเกิดภูเขาไฟระเบิดชนิดรุนแรงมาก ถึงขั้นเป็นอภิมหามหันตภัยล้างโลก นอกจากจะทำลายชีวิตจากความร้อนโดยตรง จะเป็นพิษภัยต่อสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ ซึ่งย่อมส่งผลมาถึงมนุษย์ด้วย 5) ปัญหาโลกร้อนยังจะทำให้เกิดโรคระบาดจากโรคอุบัติใหม่ (Emerging Disease) และโลกอุบัติซ้ำ (Re-Emerging Disease) รวมทั้งโรคระบาดที่เกิดขึ้นตามหลังน้ำท่วมและภัยแล้ง

ภัยธรรมชาติทั้ง 5 ประการนี้ จะก่อให้เกิดปัญหาความอดอยาก (ทุพภิกขภัย) และสงครามตามมา ทำให้ปัญหารุนแรงและร้ายแรงยิ่งขึ้น

สิ่งที่นิตยสารไทม์ได้ทำนายไว้นี้ เป็นการทำนายจากข้อมูลหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Prediction มิใช่การคาดเดา (Guess) หรือการทำนายแบบโหราศาสตร์ซึ่งมักมีโอกาสผิดมากกว่าถูก แต่การทำนายทางวิทยาศาสตร์มีโอกาสเกิดขึ้นจริงได้มาก โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากแนวโน้มการใช้พลังงานของโลกที่มีแต่จะทำให้โลกร้อน ขึ้น โดยมีอัตราเร่งสูงกว่าแต่ก่อนมาก แม้จะมีความพยายามลดโลกร้อนด้วยกลไก วิธีการ และมาตรการต่างๆ แต่ผลจากวิธีการและมาตรการต่างๆ เหล่านั้น ก็ส่งผลจริงต่อโลกน้อยมาก ทำให้โลกได้เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ยืนยันคำทำนายของนิตยสารไทม์เกิดถี่ขึ้น มหาอุทกภัยในปี 2554 ของประเทศไทย ก็เป็นผลส่วนหนึ่งที่ยืนยันคำทำนายนั้น

ประเทศไทยจึงต้องพิจารณาแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง มิใช่ทำอย่าง “ไฟไหม้ฟาง” หรือแบบ “วัวหายแล้วล้อมคอก” อย่างที่แล้วๆ มา

หนทางเดียวที่จะชะลอหรือหยุดยั้งมหันตภัยหรือมหาภัยพิบัติเหล่านี้ได้ ก็คือ ทั่วโลกจะต้องเปลี่ยนจากการเดินตามหนทางทุนนิยม เป็นแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นเรื่องยากยิ่งเพราะเป็นการฝืนกระแสโลก

นี่น้ำยังไม่ลด แทนที่จะสร้างความสามัคคีผนึกกำลังกันแก้ปัญหา รัฐบาลกลับซ้ำเติมด้วยการ สร้างปัญหาการเมืองจากการแอบออกพระราชกฤษฎีกาเรื่องอภัยโทษแบบมีเงื่อนงำ ซึ่งจะทำให้เกิดความแตกแยกรุนแรงขึ้นอีกแล้ว

สำนักงานบัญชีและธุรกิจ พี.เอ.แอล.,สำนักงานสอบบัญชี พีแอนด์อี
ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,จดทะเบียนธุรกิจ,วางระบบบัญชี