จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
โดย : ดร.บวร ปภัสราทร
ว่ากันว่าภัยพิบัติที่สุดแสนจะทรมานและยาวนานนั้นไม่ใช่ภัยที่มาจากธรรมชาติแท้ๆ หากแต่เป็นภัยที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งจากธรรมชาติ
และถูกซ้ำเติมด้วยความบกพร่องผิดพลาดของคนตามเข้าไปด้วย ภัยผสมที่มาจากสาเหตุที่เป็นธรรมชาติและจากฝีมือการกระทำของคนนั้นทำให้กลายเป็นที่รวมความย่ำแย่ทั้งจากทั้งที่มาตามธรรมชาติและมาจากการกระทำซ้ำเติมของผู้คนที่เกี่ยวข้อง กลายเป็นศึกสองด้านสำหรับผู้คนที่ตกเป็นเหยื่อของภัยพิบัตินั้น ต้องรับมือทั้งการกระทำของธรรมชาติและรับมือการกระทำของผู้คน ดังนั้นในวันใดที่ต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติ เราต้องแยกแยะให้ได้ว่าภัยที่คุกคามเราอยู่นั้นมาจากธรรมชาติจริงๆ หรือเป็นการกระทำของผู้คน แต่ที่แย่ที่สุดคือเป็นภัยผสมระหว่างคนกับธรรมชาติ ซึ่งเมื่อรู้แล้วว่ากำลังอยู่กับภัยแบบผสมนี้ขอให้ทำความเข้าใจกับผลที่จะตามมากับภัยผสมนี้ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ว่าจะเป็นภัยชนิดไหนก็คงทำให้เราเดือดร้อนแน่ๆ จะมากบ้างน้อยบ้างก็แล้วแต่ขอบเขตและความรุนแรงของภัยนั้น แต่ภัยผสมสร้างมากกว่าความเดือดร้อนให้ตัวเราได้หากไม่รู้จักภัยนี้ดีเพียงพอ
ถ้าเป็นภัยธรรมชาติแท้ๆ โดยปราศจากฝีมือมนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้องมักมาเร็วและไปเร็ว รุนแรงมากน้อยยากที่จะคาดการณ์ได้ล่วงหน้า แต่ไม่ว่าจะรุนแรงแค่ไหน ภัยธรรมชาติแท้ๆ ก็ยังยุติไปได้เร็วเช่นกัน ถ้านับกันเฉพาะภัยพิบัติจากคลื่นยักษ์ที่มาเองตามธรรมชาติ ระยะเวลาแห่งความยากลำบากนับกันเป็นวันหรือเป็นสัปดาห์ แต่พอมีภัยจากโรงไฟฟ้าปรมาณูที่เป็นฝีมือมนุษย์ผสมเข้ากับภัยจากธรรมชาติ คงจำกันได้ว่าทำให้ระยะเวลาแห่งความยากลำบากยาวนานนับเดือนนับปี ดังนั้น หากทราบแน่ชัดแล้วว่าภัยพิบัติที่พบเจออยู่นั้นเป็นภัยผสม ต้องทำใจยอมรับความจริงไว้ก่อนว่าภัยอาจมาไม่เร็วอย่างที่คาดไว้ และภัยนี้อาจจะอยู่กับบางคนนานกว่าที่เคยคิดไว้เช่นเดียวกัน ที่แย่ลงไปอีกคือภัยผสมทำให้มีทั้งผู้แพ้อย่างยับเยิน พร้อมกับมีผู้ชนะที่แสนสบายไร้กังวล ภัยผสมมาช้ากว่าที่คิดแต่คงอยู่ยาวนานกว่าที่คิดเช่นเดียวกัน
เหตุที่ภัยคงอยู่ยาวนานกว่าที่ควรจะเป็นไปตามธรรมชาติเพราะการกระทำของผู้คนที่ไม่เข้าใจธรรมชาติของภัยนั้นอย่างกระจ่างชัด แค่พลาดเล็กน้อยในการแก้ไขภัยธรรมชาตินั้นก็สามารถทำให้ผู้คนบางส่วนต้องทนอยู่กับภัยนั้นยาวนานขึ้นไปอีก ภัยจากธรรมชาติแท้ๆ ที่ว่าไม่แน่นอนนั้นยังมีความแน่นอนมากกว่าภัยผสมระหว่างคนกับธรรมชาติเพราะต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างเชื่อ ตราบเท่าที่ยังรู้ไม่ชัดว่าส่วนไหนมาจากคน ส่วนไหนมาตามธรรมชาติ ทุกอย่างรอบตัวจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน คนสามารถทำให้ภัยที่มาตามธรรมชาตินั้นเปลี่ยนแปลงไปจากที่น่าจะเป็นได้เสมอ และถ้าเป็นคนที่ขัดแย้งไม่ชอบหน้ากันอยู่มาแต่ดั้งเดิมแล้ว ยิ่งบานปลายเข้าไปใหญ่เพราะการแก้ไขภัยพิบัติอาจมีการเลือกที่รักมักที่ชัง จนแก้ไขแล้วผลที่เกิดขึ้นกลับเปลี่ยนแปลงภาพรวมไปในทางที่เกินกว่าที่คิดไว้ ภัยมาทางนี้แต่พอเริ่มแก้ไขโดยเล่นพรรคเล่นพวก ภัยเลยย้ายไปอีกทางหนึ่งจนเหตุการณ์บานปลายเพราะภัยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่มีใครเข้าใจได้อีกต่อไปแล้ว คิดว่าจะช่วยพรรคพวกได้กลับกลายเป็นสร้างให้ยากลำบากกว่าที่ควรจะเป็นไปเสียอีก วันใดที่อยู่กับภัยผสมนี้ วันนั้นต้องไม่ตั้งความหวังว่าภัยจะจบไปโดยเร็ว และอย่าคาดหวังว่าเมื่อเห็นบางคนพ้นจากภัยพิบัตินั้นไปแล้ว อีกไม่นานเราก็จะพ้นภัยตามไปด้วย ให้สังเกตการเปลี่ยนแปลงและตอบตนเองให้ได้ว่าน่าจะต้องอยู่กับความย่ำแย่นั้นนานแค่ไหน แต่ให้เริ่มทำใจไว้เลยว่ามีโอกาสสูงที่ผู้ประสบภัยบางส่วนต้องทุกข์ทรมานอยู่กับภัยนั้นนานกว่าคนอื่นและเราอาจเป็นส่วนหนึ่งก็เป็นได้ ภัยผสมไม่ว่าจะมาช้าหรือมาเร็วก็ตาม ภัยผสมจากไปช้ากว่าภัยธรรมชาติล้วนๆ เสมอ
ภัยธรรมชาติแม้จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่หลายครั้งก็ไม่ได้ขยายตัวจนกลายเป็นภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติบ่อยครั้งที่เกิดขึ้นโดยมีขอบเขตที่จำกัด แต่ความละเลยที่จะตระเตรียมรับมือหรือการรับมืออย่างผิดพลาด หรือรับมือแบบเลือกพรรคพวกมากกว่าที่จะตั้งใจแก้ไขในภาพรวมทำให้ภัยที่สามารถหลีกเลี่ยงได้นั้นกลายเป็นภัยพิบัติที่ไม่มีใครคาดเดาอะไรอย่างถูกต้องต่อไปได้ จนกลายเป็นภัยที่มีทั้งผู้แพ้ยับเยินและผู้ชนะอยู่ปะปนกัน ภัยผสมจึงส่งเสริมให้เกิดความขัดแย้งตามมา หากไม่รับมือกันอย่างดีเพียงพอ ความย่ำแย่ที่เกิดขึ้นจากผลของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้นอาจมากกว่าที่มาจากเหตุที่มาตามธรรมชาติเสียอีก และอาจมีผลต่อเนื่องจนกลายเป็นวิกฤติที่ไม่รู้จบ แม้ว่าภัยจากธรรมชาติได้ยุติไปตามธรรมชาติแล้วก็ตาม ซึ่งบางตำรายังได้บอกไว้ว่าถ้าเป็นภัยธรรมชาติแท้ๆ แล้ว คนไม่ทันได้ทะเลาะเบาะแว้งกันว่าฉันลำบากเธอสบาย ภัยก็หดหายไปตามธรรมชาติแล้ว ภัยธรรมชาติแท้ๆ จะสร้างความสามัคคีในหมู่ผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยากมาด้วยกันมากกว่าที่จะมีการขัดแย้งจากการที่ได้รับผลกระทบแตกต่างกันจากการเลือกปฏิบัติในการรับมือภัยนั้น
ภัยธรรมชาติไม่มีใครเป็นต้นเหตุ ดังนั้นโดยปกติทั่วไปจึงไม่มีใครคอยกล่าวโทษใครว่าเป็นตัวการที่ทำให้เกิดวิกฤตินั้น ไม่มีใครกล่าวโทษว่าใครเป็นต้นเหตุของพายุ เมื่อมีภัยเกิดขึ้นต่างคนต่างสามารถช่วยกันปัดเป่าความยากลำบากไปโดยไม่ต้องกังวลใจว่าใครจะมาว่าอะไร อย่างมากก็แค่โดนว่าช่วยช้าเกินไป แต่อย่างไรเสียถ้าคนปกติทั่วไปจะโกรธคนที่มาช่วยให้พ้นวิกฤติคงโกรธไม่มากไปกว่าที่จะโกรธตัวการที่เป็นต้นตอของวิกฤตินั้น ภัยผสมมีตัวการที่ทำให้วิกฤติที่ควรจะหลีกเลี่ยงได้กลายเป็นภัยคุกคามที่เกินกำลังจะรับมือ ภัยผสมจึงมีคนที่สมควรถูกโกรธเกลียด หรือที่สมควรมากไปกว่านั้นคือคนที่เป็นตัวการที่ทำให้เกิดวิกฤติต้องแสดงความรับผิดชอบในความบกพร่องของตน แต่บางทีก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าคนบางกลุ่มต่อสู้กันทางการเมืองมากจนกระทั่งต้นตอของวิกฤติกลับไม่มีใครใส่ใจ แต่กลับไปกล่าวหากันเองในระหว่างผู้คนที่ไม่ใช่ต้นเหตุ โดยแกล้งทำเป็นไม่เห็นตัวการที่แท้จริง การที่เห็นทุกอย่างรอบตัวเป็นเรื่องของการชิงดีชิงเด่นให้ผู้คนได้เห็นไปหมด ทำให้ยอมละเลยตัวการสร้างปัญหาเพียงเพื่อให้เล่นงานคู่แข่งได้เท่านั้น ภัยผสมจึงมิได้เพียงแค่ทำให้ทุกข์กายทุกข์ใจ แต่ยังทำให้ตรรกในการคิดวินิจฉัยเรื่องต่างๆ ของเราเสียหายไปด้วย เมื่อต้องอยู่กับภัยผสม ต้องแยกแยะคนช่วยและตัวการ ออกจากสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติให้ได้ก่อนที่จะคิดเรื่องอื่นที่ได้พบเห็นในระหว่างที่มีวิกฤตินั้น
ข้อมูลข่าวสารที่มาจากภัยธรรมชาติจริงๆ นั้นแม้จะไม่ครบถ้วนเพียงพอที่จะรับมือได้อย่างเหมาะสม แต่ก็เป็นไปในทางเดียวกัน ใครบอกก็เหมือนกัน แต่ข้อมูลข่าวสารที่ได้ในระหว่างที่พบกับภัยผสมมักมาจากหลายแหล่งที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งของผู้คน ทำให้ยากที่จะตัดสินใจว่าจะเชื่อข้อมูลข่าวสารที่มาจากใครดี ยิ่งรับรู้มากก็ยิ่งเครียด ยิ่งไม่พอใจ ยิ่งหมดหวัง สุดท้ายกลายเป็นต้องพึงโชคชะตาให้พาให้พ้นภัยนั้นไปได้ในที่สุด
สำนักงานบัญชีและธุรกิจ พี.เอ.แอล.,สำนักงานสอบบัญชี พีแอนด์อี
ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,จดทะเบียนธุรกิจ,วางระบบบัญชี