สมชาย : สหรัฐอย่าละเมิดความรู้สึกคนไทย
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
สมชาย แสวงการ ให้สัมภาษณ์เรียกร้องเอกอัครราชทูตสหรัฐ อย่าละเมิดความรู้สึกคนไทย เผยเตรียมทำจดหมายทำความเข้าใจเรื่องกฎหมาย และการปกป้องสถาบัน
สมชาย แสวงการ ประธานกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา และในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาติดตามการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการเกี่ยวกับการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา ให้สัมภาษณ์ เรียกร้องเอกอัครราชทูตสหรัฐ อย่าละเมิดความรู้สึกคนไทย
สมชาย เล่าประสบการณ์ที่ได้สัมผัสใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกา ว่า ผมคือคนที่สถานทูตสหรัฐเชิญให้ไปศึกษาดูงานสิทธิมนุษยชน และรัฐธรรมนูญ ของสหรัฐหลายรอบ ทำให้ผมทราบว่า สหรัฐเองต่างหากที่จะต้องรับฟังความคิดเห็นคนอื่นบ้าง
ในฐานะ รองประธานกมธ.พิทักษ์สถาบันฯ วุฒิสภา สมชาย เล่าว่า วันนี้มีการประชุมกันในกรรมาธิการทุกคนเห็นตรงกันว่า จะทำหนังสือถึงเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย คริสตี้ เคนนี่ย์ เพราะเราเห็นว่าเป็นทูตคนใหม่ที่เพิ่งจะมาประจำประเทศไทย อาจจะต้องทำความเข้าใจใหม่ ทำความเข้าใจการปกครองของไทยตั้งแต่ปี 2475 เราเรียกการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เรามีกฎหมายคุ้มครองพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 2 'ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข' มาตรา 3 'อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม'
เรามีรัฐธรรมนูญคุ้มครองพระมหากษัตริย์ ก็เหมือนกับสหรัฐ ที่มีกฎหมายรัฐธรรมนูญไว้คุ้มครองผู้นำตัวเอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไทยเราใช้คุ้มครองผู้นำของไทย เหมือนเขาคุ้มครองประธานาธิบดี โอบามา
รองประธานกมธ.พิทักษ์สถาบันฯ วุฒิสภา กล่าวถึงการที่สหรัฐออกมาแสดงความเป็นห่วงเสรีภาพในประเทศไทย นั้น ในฐานะสมาชิกวุฒิสภา ยืนยันว่า ประเทศไทยมีเสรีภาพเหลือล้นมากกว่าสหรัฐ เพราะขนาดเหตุการณ์เสื้่อเหลือง เสื้อแดง ชุมนุมมีการถ่ายทอดสด ขณะที่สหรัฐ ถ่ายทอดสดการชุมนุมทางการเมืองไม่ได้ หรือการชุมนุมพักค้างอ้างแรม สหรัฐทำไม่ได้ สิ่งที่สหรัฐทำไม่ได้ คือชุมนุมแล้วปลุกระดมให้คนเผาบ้านเผาเมือง หรือวางระเบิด ยิงเอ็ม 79 กลางเมืองหลวง สหรัฐทำไม่ได้ แต่ประเทศไทยทำได้ และทำมาแล้ว
ผมเปรียบเทียบอย่างนี้ สหรัฐแค่เดินเข้าไปหน้าทำเนียบขาว ยังโดนหิ้วไปขัง หรือเหตุการณ์ 911 คนที่จะเข้าสหรัฐ ถูกจับแก้ผ้ามากต่อมาก สหรัฐจึงเป็นประเทศที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนมากที่สุด ในการตรวจค้นคนต่างชาติที่จะเดินทางเข้าสหรัฐ หรือในกรณีการทำสงครามอีรัก สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น ห้ามเสนอข่าวบางเรื่อง แต่ประเทศไทยกำลังสำลักเสรีภาพ เรามีวิทยุชุมชนกว่าหมื่รนสถานี มีมากว่าสหรัฐ
นายสมชาย กล่าวว่า การที่ไทยจะปกป้องมาตรา 112 ก็คือการปกป้องผู้นำ เหมื่อนคุณปกป้องผู้นำคุณเอง เอกอัครราชทูตสหรัฐต้องเข้าใจความหลากหลาย เรามีจารีต มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เรามีกฎหมายไว้ปกป้อง แต่ประเทศคุณ การเดินทางมาประเทศไทย ต้องส่งเครื่องบินมาล่วงหน้า ส่งรถลีมูซีน ส่งอาวุธหนักเข้ามา ยิ่งกว่าสงคราม เพื่ออะไร เพื่อคุ้มกันผู้นำของคุณ เวลานอนโรงแรม แขกคนอื่นยังถูกห้ามเข้าไปกินอาหารห้องเดียวกันกับผู้นำของคุณ เพราะคุณต้องการพิทักษ์ผู้นำประเทศคุณ ดังนั้น คุณต้องเคราพประเทศอื่นที่มีความหลากหลายทางขนบธรรมเนียม การอ้างการใช้สิทธิมนุษยชนตามหลักสหประชาชาติ แต่นั่นจะต้องไม่ละเมิดกฎหมายภายในประเทศ นั้นๆ ด้วย
ผมยกตัวอย่างประเทศสหรัฐ ที่อ้างตนเองว่าเป็นประเทศที่เคารพหลักสิทธิมนุษยชน มีกรณี เด็กหนุ่มชาวอังกฤษ ลุค แองเจิล วัย 17 ปี ส่งอีเมล์ไปด่า ประธานาธิบดี บารัค โอบามา เขาด่า โอบามาว่า "พริก" คำเดียวเท่านั้น สหรัฐให้ตำรวจอังกฤษไปจับ ลุค แองเจิล แต่ตำรวจอังกฤษก็ไม่ได้ตั้งข้อหาใดกับเด็กหนุ่มคนนี้ สหรัฐต่างหากที่ติดแบล็คลิสต์ห้าม ลุค แองเจิล เข้าสหรัฐตลอดชีวิต อย่างนี้จะเรียกว่าเคารพการแสดงความคิดเห็นตามหลักสิทธิมนุษยชนหรือไม่
เอกอัครราชทูตสหรัฐ ได้โปรดศึกษาวัฒนธรรมประเทศอื่นด้วย เพราะเสรีภาพที่คุณอ้างถึงนั้น ประชาชนคนไทยเห็นแล้วไม่สบายใจกับการละเมิดความรู้สึกของคนไทย และเราในนามกมธ. วิสามัญศึกษาติดตามการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการเกี่ยวกับการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา จะทำหนังสือแจ้งให้ทราบข้อเท็จจริงนี้ทั้งหมด
สถานทูตสหรัฐฯ ยันเคารพกฎหมาย-ไม่เข้าข้างฝ่ายใดในไทย แต่อ้างหนุนเสรีภาพทั่วโลก
จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์
เฟซบุ๊กสถานทูตสหรัฐฯ ออกคำแถลงการณ์หวังสงบศึกเครือข่ายเฟซบุ๊กชาวไทย ยันยังเคารพสถาบันกษัตริย์ อ้าง “โอบามา-ฮิลลารี” ถวายพระพรในหลวง ในวโรกาส 84 พรรษา หยอดไทยเป็นมิตรประเทศที่เก่าแก่ที่สุด ลั่นเคารพกฎหมายไทย ไม่เข้าข้างฝ่ายใด แต่ตบท้ายมาแปลกหนุนแสดงออกเสรีภาพทั่วโลก อ้างเป็นสิทธิพื้นฐานของมนุษย์
วันนี้ (16 ธ.ค.) เฟซบุ๊ก US Embassy Bangkok ได้ขึ้นประกาศคำแถลงจากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย โดยระบุว่า ดังที่เอกอัครราชทูตเคนนีย์ ได้กล่าวแล้ว รัฐบาลสหรัฐอเมริกามีความเคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์ และวัฒนธรรมของประเทศไทยอย่างสูงสุด เมื่อเร็วๆ นี้ ท่านประธานาธิบดี โอบามา (นายบารัค โอบามา) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคลินตัน (นางฮิลลารี คลินตัน) และสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้ถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 84 พรรษา ประเทศไทยเป็นมิตรเก่าแก่ที่สุดในเอเชียของสหรัฐฯ และสหรัฐฯ จะยังคงยืนเคียงข้างประชาชนไทยตลอดไป เราเคารพกฎหมายไทย และสำหรับเรื่องกิจการภายในของประเทศไทยนั้น สหรัฐฯ ไม่เข้าข้างฝ่ายใดทั้งสิ้น สหรัฐฯ สนับสนุนให้มีเสรีภาพในการแสดงออกในทุกประเทศทั่วโลก และถือว่าเสรีภาพนี้เป็นสิทธิพื้นฐานของมนุษย์
ทั้งนี้ การออกคำแถลงดังกล่าวสืบเนื่องมาจากเฟซบุ๊ก US Embassy Bangkok ได้มีสมาชิกเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นชาวไทยจำนวนมาก แสดงความคิดเห็นทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ แสดงความไม่พอใจกรณีที่ นายเดอรราจ์ พาราดิโซ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศฝ่ายเอเชียตะวันออกของสหรัฐอเมริกา แสดงความวิตกกังวลต่อการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 และกระบวนการยุติธรรมของไทย และการแสดงความเห็นผ่านทวิตเตอร์ของ นางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย กรณีการตัดสินคดีของ นายโจ กอร์ดอน ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ว่า มีความกังวลต่อการตัดสินที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลในเรื่องสิทธิเสรีภาพ การแสดงความคิดเห็น แม้ภายหลังผู้ดูแลเฟซบุ๊ก US Embassy Bangkok ได้ขึ้นข้อความว่า “เรียนเพื่อนๆ ชาวเฟซบุ๊ก เรายินดีรับมุมมองและความคิดเห็นที่หลากหลายบนหน้าเฟซบุ๊กต่างๆ ของเรา เพียงแต่อยากขอให้เพื่อนๆ ทำความเข้าใจกับเงื่อนไขในการให้บริการเฟซบุ๊กของเรา และโปรดงดเว้นการใช้ภาษาที่หยาบคาย รุนแรง หรือข่มขู่” แต่ก็ยังมีสมาชิกเฟซบุ๊กเข้ามาโพสต์ข้อความแสดงความไม่พอใจต่อท่าทีของ สหรัฐฯ เกี่ยวกับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม แม้คนในรัฐบาลสหรัฐฯ จะอ้างเรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และแสดงความเห็นห่วงกรณีการดำเนินคดีผู้กระทำผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แต่ปรากฏว่าในประเทศสหรัฐอเมริกาก็มีการลงโทษผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ผู้นำ สหรัฐอเมริกาเช่นกัน
โดยเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2553 นายจอห์นนี่ โลแกน สเปนเซอร์ ชาวเคนตั๊กกี้ วัย 28 ปี ถูกศาลตัดสินจำคุกเป็นเวลาเกือบ 3 ปี ด้วยข้อหาข่มขู่นายบารัก โอบามา กรณีที่เขียนบทกวีซึ่งมีเนื้อหาบรรยายถึงการใช้ปืนสไนเปอร์ลอบยิง ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
นายสเปนเซอร์ได้กล่าวคำขอโทษในศาลเมืองหลุยส์วิลล์ และให้การว่า ขณะที่เขาเขียนบทกวีนั้น เป็นช่วงที่กำลังเศร้าโศกเสียใจเพราะการเสียชีวิตของมารดาและได้เข้าไปอยู่ ในกลุ่มเชิดชูคนผิวขาว (white supremacist) ซึ่งช่วยให้เขาเลิกยาเสพติดได้
ทั้งนี้ ผู้พิพากษาโจเซฟ เอ็ช.แม็กคินลีย์ จูเนียร์ ได้ตัดสินว่าบทกวีของนายสเปนเซอร์คือสิ่งที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งยวด จึงถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 33 เดือน และจะถูกคุมประพฤติอีก 3 ปีหลังพ้นโทษจำคุกแล้ว
สำหรับบทกวีของนายสเปนเซอร์ที่ชื่อ“สไนเปอร์”นั้นเคยถูกโพสต์ขึ้น เว็บไซต์แห่งหนึ่งเมื่อปี 2550 และถูกโพสต์ขึ้นอีกครั้งในปี 2552 หลังจากนายโอบามาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีแล้ว
นอกจากนี้ยังมีกรณี วัยรุ่นชาวอังกฤษถูกห้ามเดินทางเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาตลอดชีวิต หลังจากเรียกนายโอบามาเป็นอวัยวะเพศชาย
ทั้งนี้ สื่อมวลชนของอังกฤษได้รายงานเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2553 ว่า นายลุก แองเจล อายุ 17 ปี ชาวเมืองซิลโซ ในเบดฟอร์ดเชียร์ ได้ส่งอีเมล์ไปยังทำเนียบขาว หลังจากที่เขาได้ดูรายการทีวีเกี่ยวกับเหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายโจมตีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 พร้อมกับเรียกนายโอบามาในอีเมล์นั้นว่า “a prick” ซึ่งเป็นศัพท์สแลงมีความหมายถึงอวัยวะเพศชาย
อีเมล์ดังกล่าวถูกสำนักงานสอบสวนกลางแห่งสหรัฐฯ หรือ เอฟบีไอ ดักตรวจได้ จึงส่งข้อมูลให้ตำรวจอังกฤษทำการสืบสวนสอบสวนต่อ แม้ว่าจะไม่มีการดำเนินคดีกับเด็กวัยรุ่นชาวอังกฤษคนนี้ แต่เขาก็ถูกขึ้นบัญชีดำเป็นบุคคลต้องห้ามเดินทางเข้าสหรัฐฯ
ซาราห์ วิลคินสัน โฆษกสำนักงานตำรวจเบดฟอร์ดเชียร์ บอกว่า อีเมล์ดังกล่าวเต็มไปด้วยภาษาที่ไม่เหมาะสมและข่มขู่คุกคามจำนวนมาก อย่างไรก็ตามเธอบอกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของเด็กคนหนึ่งที่ทำอะไรโง่ๆ เท่านั้น
ขณะที่นายแองเจลยอมรับว่าได้ส่งอีเมล์ดังกล่าวออกไปขณะกำลังเมา และให้ปากคำต่อตำรวจว่า เขาจำไม่ได้ชัดเจนว่าได้เขียนอะไรลงไปบ้าง นอกจากนี้ยังให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเกี่ยวกับเรื่องที่เขาถูกห้าม เข้าสหรัฐฯ ว่า เขาไม่สนใจ แม้ว่าพ่อแม่เขาไม่ค่อยมีความสุขนักกับเรื่องที่เกิดขึ้น
สำนักงานบัญชีและธุรกิจ พี.เอ.แอล.,สำนักงานสอบบัญชี พีแอนด์อี
ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,จดทะเบียนธุรกิจ,วางระบบบัญชี