จาก โพสต์ทูเดย์
กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ออกแถลงการณ์ค้านแก้ม.112 อ้างอาจเกิดความขัดแย้งและแตกแยกทางความคิด
เมื่อวันที่ 18 ม.ค. กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ออกแถลงการณ์คัดค้านการแก้ไขกฎหมาย ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยมีเนื้อหา ดังนี้
ตามที่ได้มีการเสนอให้แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา โดยเสนอให้ยกเลิกและแยกบทบัญญัติดังกล่าวออกจากลักษณะความผิดเกี่ยวกับความ มั่นคงแห่งราชอาณาจักร รวมทั้งเสนอให้กำหนดเป็นความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติของพระมหากษัตริย์และพระ บรมวงศานุวงศ์ ทั้งนี้ โดยกล่าวอ้างเหตุผลว่าเพื่อรักษาไว้ซึ่งเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามความ มุ่งหมายของรัฐธรรมนูญจึงมีความจำเป็นสามประการที่ต้องเสนอแก้ไข คือ โครงสร้างของบทบัญญัติและอัตราโทษมีความไม่เหมาะสม ไม่มีข้อยกเว้นความผิดในกรณีที่บุคคลติชมหรือแสดงข้อความโดยสุจริต และเปิดช่องให้บุคคลนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
กลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” ซึ่งได้ประกาศจุดยืนในสถานการณ์ปัจจุบันว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่มีคุณค่าต่อสังคมและระบบการเมืองไทย” เห็นว่าข้อเสนอดังกล่าวข้างต้นส่งผลให้เกิดความสับสนทางวิชาการ ความขัดแย้ง หรือแตกแยกทางความคิดในสังคมไทยอย่างรุนแรง และหากข้อเสนอนี้ในที่สุดได้รับ การบัญญัติเป็นกฎหมาย ย่อมกระทบต่อจิตวิญญาณประชาชาติอันเป็นความผูกพันระหว่างประชาชนกับสถาบัน พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นรากฐานการดำรงอยู่ของสังคมไทย ดังนั้น กลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” จึงเสนอความคิดเห็นทางวิชาการในอีกมุมมองหนึ่งต่อสังคมไทย เพื่อเป็นข้อพิจารณาประกอบการพิจารณาของสาธารณชน และเพื่อให้ได้รับข้อมูลทางวิชาการอย่างรอบด้าน ดังต่อไปนี้
1.“สถาบันพระมหากษัตริย์” เป็น “สถาบันประมุขแห่งรัฐ” ของระบอบการปกครองแห่งราชอาณาจักรไทย
ทุกประเทศมีสถาบันประมุขแห่งรัฐในรูปแบบต่างๆ และให้ความคุ้มครองสถาบันประมุขแห่งรัฐเป็นพิเศษอันแตกต่างจากปัจเจกชนทั่ว ไป เพื่อให้ “สถาบันประมุขแห่งรัฐ” สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี สำหรับประเทศไทยได้ยึดถือ“สถาบันพระมหากษัตริย์” เป็น “สถาบันประมุขแห่งรัฐ” เป็นศูนย์รวมแห่ง “จิตวิญญาณประชาชาติ” มีความสำคัญที่อยู่คู่สังคมและระบบการเมืองไทยมาเป็นเวลาช้านาน มีคุณูปการอันมากมายต่อสังคมไทย มีสถานะที่สำคัญในการคุ้มครองคุณค่าของสังคมไทย และสามารถแก้ไขปัญหาและข้อขัดแย้งของสังคมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาต่างๆได้
“สถาบันพระมหากษัตริย์” จึงเป็นสถาบันหลักอันทรงคุณค่าทางจิตใจของประชาชนชาวไทยและระบอบการปกครอง แห่งราชอาณาจักรไทย อันควรได้รับการคุ้มครองป้องกันเป็นพิเศษ หลักการดังกล่าวจึงสอดคล้องกับหลักการคุ้มครอง “สถาบันพระมหากษัตริย์” ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 2 และมาตรา 8 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งตก็เป็นบทบัญญัติที่สะท้อนถึงการรักษาไว้ซึ่ง “จิตวิญญาณประชาชาติ” เช่นเดียวกับมาตรา 112 ดังกล่าว
1.การให้ความคุ้มครอง “สถาบันพระมหากษัตริย์” ในฐานะ “สถาบันประมุขแห่งรัฐ” ตามมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา จึงเป็นการคุ้มครอง “สถาบัน” มิใช่การคุ้มครององค์พระมหากษัตริย์ องค์ราชินี องค์รัชทายาท เป็นรายพระองค์ หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในฐานะของ “ปัจเจกบุคคล” เพราะทุกพระองค์เป็นส่วนหนึ่งของ “สถาบันพระมหากษัตริย์” สามารถปฏิบัติพระราชกรณียกิจตามที่องค์พระประมุขทรงมอบหมาย ดังนั้น การคุ้มครองทุกพระองค์จึงเป็นการคุ้มครอง “สถาบันพระมหากษัตริย์” และเป็นคุ้มครองจากการกระทำอันเป็นละเมิดต่อ “สถาบันประมุขแห่งรัฐ” ในฐานะที่เป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณประชาชาติ
โดยนัยดังกล่าว กลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” จึงเห็นว่า การยกเลิกบทบัญญัติมาตรา 112 และแยกบทบัญญัติในเรื่องนี้ออกจากความผิดต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรไทย รวมทั้งการแยกการคุ้มครองทุกพระองค์ออกจากการคุ้มครอง “สถาบันประมุขแห่งรัฐ” และลดการคุ้มครองลงในระดับเดียวกับบุคคลทั่วไป มีการกำหนดบทลงโทษให้ต่ำกว่าประมุขของรัฐต่างประเทศและผู้แทนรัฐต่างประเทศ ตามมาตรา 133 และมาตรา 134และเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา 136และผู้พิพากษาหรือตุลาการมาตรา 198 จึงเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งและไม่เคารพต่อคุณค่าทางจิตใจของปวง ชนชาวไทยทั้งประเทศ
2. มาตรา 112ประมวลกฎหมายอาญามิใช่ตัวปัญหา หากแต่เป็นปัญหามาจากผลของการบังคับใช้กฎหมายในกระบวนการยุติธรรม
ปัญหาหลักที่สำคัญในสภาพการณ์ปัจจุบันของกระบวนการยุติธรรม คือ การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีประสิทธิภาพและไม่ก่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม โดยมีเหตุมาจากการไม่คำนึงถึงหลักการสำคัญในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของ ประชาชน (หลัก Due process of Law) และกระบวนการยุติธรรมถูกแทรกแซงโดยผู้มีอำนาจทางการเมือง ซึ่งเกิดขึ้นในการบังคับใช้กฎหมายในกรณีอื่นๆด้วย ไม่เว้นแม้แต่การบังคับใช้บทบัญญัติมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
โดยนัยดังกล่าว กลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” จึงเห็นว่า บทบัญญัติมาตรา 112 นั้นเป็นไปตามหลักการข้อ 1 ที่ได้เสนอแล้วข้างต้น มิได้มีปัญหาทางกฎหมายในตัวของบทบัญญัติเองแต่อย่างใด การแก้ไขปัญหาการบังคับใช้บทบัญญัติมาตรา 112 ให้ถูกต้องเหมาะสม จึงมิใช่โดยวิถีทางที่เป็นไปข้อเสนอของการยกเลิกหรือแยกบทบัญญัติดังกล่าว ออกมาจากความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หากแต่ต้องแก้ไขปัญหาในส่วนของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
3.“สิทธิและเสรีภาพ” มีข้อจำกัดตามขอบเขตของการใช้สิทธิและเสรีภาพ ไม่ได้เกิดจากการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ การใช้สิทธิและเสรีภาพโดยหลักแล้วย่อมมีข้อจำกัดที่สำคัญ คือ การใช้สิทธิและเสรีภาพต้องไม่กระทบแดนแห่งสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ และขัดต่อศีลธรรมอันดีของสังคม แม้แต่ปัจเจกบุคคลยังได้รับการคุ้มครองจากการใช้สิทธิและเสรีภาพของบุคคล อื่นไม่ให้เกิดการล่วงละเมิด ดังนั้น ในกรณีของ “สถาบันประมุขแห่งรัฐ” ย่อมต้องได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษยิ่งกว่าปัจเจกบุคคลทั่วไปเพราะเป็น ศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งชาติ กลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” จึงเห็นว่า บทบัญญัติมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ที่ให้การคุ้มครอง “สถาบันพระมหากษัตริย์” ในฐานะของ “สถาบันประมุขแห่งรัฐ” จึงมิได้เป็นการทำลายสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นตามที่ มีการกล่าวอ้างแต่อย่างใด
หากสาธารณชนได้พิจารณาข้อมูลทางวิชาการดังกล่าวอย่างครบถ้วนแล้ว ก็จะพบว่าปัญหาต่างๆ หาได้เกิดจากบทบัญญัติมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญาไม่ ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติดังกล่าว ตามที่มีการกล่าวอ้างนั้น แต่ประการใด
สำนักงานบัญชีและธุรกิจ พี.เอ.แอล.,สำนักงานสอบบัญชี พีแอนด์อี
ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,จดทะเบียนธุรกิจ,วางระบบบัญชี