สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ชีวิตผกผันจากขุนคลังสู่เสมา 1

จาก โพสต์ทูเดย์

"ผมไม่เห็นด้วยเรื่องเก้าอี้ดนตรี คือ ถ้าเป็นผม ผมจะเอาคนเก่ง คนไม่โกงมาทำงาน เพราะตอนนี้ประเทศไทยล้าหลังกว่าหลายๆ ประเทศ เช่นเดียวกับหมู่บ้านคนเสื้อแดงที่เป็นคนยากคนจนที่รอความคาดหวังอยู่"

โดย.....ปริญญา ชูเลขา

ครม.ยิ่งลักษณ์ 2 มีการปรับคณะรัฐมนตรี 16 คน โดยมีรัฐมนตรีหน้าใหม่ 10 คน หนึ่งในนั้น "สุชาติ ธาดาธำรงเวช"รมว.ศึกษาธิการตามจริง "สุชาติ" ไม่ใช่รัฐมนตรีใหม่ถอดด้ามเสียทีเดียว เพราะเขาเคยเป็น รมว.คลัง ในสมัยรัฐบาล "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" มาแล้ว แต่หน้าใหม่ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์

สุชาติ ธาดาธำรงเวช

การกลับมาครั้งนี้ของ "สุชาติ" ได้สร้างความเซอร์ไพรส์ในวงการการเมืองพอสมควร เนื่องจาก"สุชาติ" ได้หลุดวงโคจรไปแล้วด้วยข้อหากระด้างกระเดื่องต่อนายใหญ่ช่วงเป็นขุนคลัง ทำให้เขาไม่มีรายชื่ออยู่ใน ครม.ยิ่งลักษณ์ 1 ทั้งที่เป็นตัวเต็ง รมว.คลัง

อะไรที่เป็นปัจจัยให้ "สุชาติ" กลับมาผงาดในเก้าอี้รัฐมนตรีอีก แม้ไม่ใช่ขุนคลังอย่างที่หวังไว้ แต่เก้าอี้ รมว.ศึกษาธิการ ก็ถือว่าใหญ่ระดับเกรดเอที่นักการเมืองหลายคนหมายจะนั่งในตำแหน่งนี้

"สุชาติ" ได้เปิดใจระหว่างการให้สัมภาษณ์พิเศษโพสต์ทูเดย์ ถึงสาเหตุที่กลับเข้ามาเป็นรัฐมนตรีได้อีกสมัย ว่า ตอน ครม.ปู 1 คาดว่าจะได้เป็นรัฐมนตรีคลัง แต่ทางผู้ใหญ่ได้มองเห็นว่ามีคนโน้นคนนี้ที่สามารถมาดูแลเศรษฐกิจได้ก็ไม่ เป็นไร ก็เลือกคุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และคุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง ก็โอเค

"ผมก็ไม่มีผิดหวัง เพราะการผิดหวังคือกิเลสขั้นต่ำของความอยากได้ อยากเป็น อยากมี แต่สำหรับผมเฉยๆ ซึ่งตอนที่ไม่ได้เป็นรัฐมนตรีก็เอาเวลาลงพื้นที่ไปดูแลชีวิตพี่น้องประชาชน 10 กว่าจังหวัดที่เป็นมวลชนคนเสื้อแดง ที่ผมเจอประชาชนทั้งในพื้นที่และตามจอทีวีเป็นล้านๆ คน ผมทำทุกอย่าง" สุชาติ กล่าวถึงความในใจ

"สุชาติ" บอกอีกว่า รัฐมนตรีบางคนโดนปรับออกก็ร้องโวยวาย ทนไม่ได้ ก็เพราะกิเลสหนา แต่จริงๆ แล้วก็ต้องปล่อยวาง

"เรื่องการปล่อยวางไม่ใช่เรื่องยาก ดูผมสิ ผมเองเดินคนเดียวทุกที ไม่เห็นต้องมี สส. หรือลูกน้องมาล้อมหน้าล้อมหลังสักคน เหมือนกับผมตอนเป็นรัฐมนตรีคลังก็ไม่ได้วางแผนอะไร แม้จะได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีก็ไม่ใช่ตำแหน่งสูงสุดทางการเมืองเพราะก็เทียบ เท่ากับรัฐมนตรีทั่วไปเท่านั้นเอง"

"สุชาติ" ยังพูดด้วยความภาคภูมิใจในการเป็นรัฐมนตรีอีกว่า พรรคตั้งให้เป็นรัฐมนตรีโดยที่ไม่เคยไปหาใครเลย แม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่เคยถามเรื่องตำแหน่ง เพราะเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่จะดูแลตามความเหมาะสม เช่นเดียวกับการแต่งตั้งมาช่วยงานเป็นรัฐมนตรี แล้วผมก็จะดูแลความเหมาะสมว่าใครควรจะมาช่วยงานผม ผมร่างทุกนโยบาย ทุกกระทรวง ซึ่งร่างนโยบายมาเป็นกระทรวง ในฐานะประธานร่างนโยบายจึงทำงานได้ทุกกระทรวง เช่น นโยบายแท็บเล็ต

"ทั้งบ้านผมพื้นที่ 90 ตารางวา ตัวบ้านแค่ 50 ตารางวา แล้วผมอยู่ในห้อง 4 คูณ 4 แล้วบ้านไม่มีคนใช้ด้วย อยู่กัน 4 คน ผม ภรรยา และลูกอีก 2 คน แค่นั้นเอง ไปดูบ้านผมได้ เรื่องของอำนาจและตำแหน่งเป็นสิ่งชั่วคราว พระเจ้าให้มา อยู่เดี๋ยวนานๆ ไปก็ตายแล้ว แม้แต่บ้านที่เราอยู่เองก็เอาไปไม่ได้ คือ ต้องละเรื่องโลภะก่อน คือ อย่าไปอยากได้อะไรของคนอื่นที่ไม่ถูกไม่ควร เช่น ไปขโมยของคนอื่น ที่บาปที่สุดคือขโมยเงินประชาชนไปอยู่บ้านตัวเอง ดูสิ มีความสุขซะที่ไหนพอตอนแก่ตัวลง"

"สุชาติ" ยังบอกถึงเคล็ดลับการเป็นรัฐมนตรีที่ประชาชนชื่นชม คือ ต้องไม่โกง ไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ และต้องถามว่าเป็นรัฐมนตรีเพื่ออะไร คือ เพื่อรับใช้ประชาชน ไม่ใช่มาเป็นนายประชาชน นี่ถ้าคุณคิดว่าคุณเป็นนายประชาชน คุณจะโกงไหม แล้วถ้าประชาชนเป็นพ่อแม่คุณ คุณจะโกงไหม คุณจะทำลายพ่อแม่ตัวเองไหม

"ผมเห็นนักการเมืองโกง ตายไม่ดีสักคน และผมก็คบแต่คนดีทั้งนั้นด้วย คนเลวเดินเข้ามา ผมดูไกลๆผมก็รู้แล้ว คนที่มาอยู่ใกล้ๆ ผมคัดแต่คนดีมาอยู่ด้วยหมด คนเลวๆ มาใกล้ๆ หนสองหนพออดทนได้ แต่พอนานๆ ผมไม่อดทน คำแรกของผม คือ ห้ามโกง"

"ถามสิ คุณกินวันละเท่าไร วันละ 500 บาทก็พอแล้ว แล้วทุกวันนี้คุณอดอยากหรือเปล่า เปล่าเลยแล้วคุณจะโกงไปทำไหม ชื่อเสียงก็เสียหาย คนที่เอาเงินมาให้ข้างหลังมันก็ไปโพนทะนาว่าคุณเป็นคนเลว ก็เห็นๆ อยู่ เช่น รัฐมนตรีหลายคนที่เราไม่เคยเห็นกับตาว่าคนคนนี้โกง แต่ก็มีการให้ข่าวโพนทะนาจนเป็นที่เชื่อได้ ผมเองก็ไม่เห็นว่าคนเหล่านั้นจะมีเกียรติศักดิ์ศรีอะไร แล้วทำไปทำไม"

"สุชาติ" ยังได้สะท้อนถึงความรู้สึกระหว่างการเป็นรัฐมนตรีกับไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ว่า ไม่เห็นความแตกต่างระหว่างไปเจอประชาชนแล้วไม่มีตำแหน่งอะไรกับตอนมีตำแหน่ง แต่ตอนมีตำแหน่งก็มีโอกาสที่จะทำงานให้ประชาชนได้มากและเร็วขึ้น แม้ว่ากระทรวงศึกษาธิการจะใหญ่ แต่ที่ใหญ่เพราะคนเยอะ และผมก็เหมาะที่จะมาอยู่ในตำแหน่งนี้ เพราะผมเป็นคนดี และจะช่วยเหลือประชาชนได้เร็วขึ้นและไม่กลัวว่ากระทรวงนี้จะใหญ่แล้วทำงาน ลำบากเพราะผมให้แต่นโยบายเท่านั้น ไม่ไปทำงานลงรายละเอียด และผมจะทำเป็นเรื่องๆ จากนั้นจะให้กรรมการที่แต่งตั้งลงไปดู

สำหรับความมั่นใจในการอยู่ในตำแหน่งนั้น"สุชาติ" กล่าวอย่างมั่นใจว่า ผมตั้งเวลาที่จะอยู่ในตำแหน่งไว้ 1 ปี แล้วถึงจุดสูงสุดแล้วจะลง

"ผมไม่ได้ตั้งเวลาว่าทุกคนจะมาอยู่แค่คนละ 6 เดือน ผมไม่เห็นด้วยเรื่องเก้าอี้ดนตรี คือ ถ้าเป็นผมผมจะเอาคนเก่ง คนไม่โกงมาทำงาน เพราะตอนนี้ประเทศไทยล้าหลังกว่าหลายๆ ประเทศ เช่นเดียวกับหมู่บ้านคนเสื้อแดงที่เป็นคนยากคนจนที่รอความคาดหวังอยู่

...ที่มาหาผมเยอะแยะ ประชาชนที่ไหนเชิญผมไปเปิดงาน ผมไปทั้งนั้น ฝ่ายค้านไม่เข้าใจคิดว่าคนเสื้อแดงเป็นคอมมิวนิสต์ คิดว่าคนเสื้อแดงจัดตั้งขึ้นมาได้ ปัดโธ่! ผมไม่เคยจ่ายเงินไปลงที่ไหนเลย คนเสื้อแดงคือคนส่วนใหญ่ของชาติ ผมมาจากประชาชนคนเหล่านี้ ถึงเวลาเป็นรัฐมนตรีไม่กล้าไปขึ้นเวทีเป็นไปได้ไง ผมก็ไปตามปกติตามเวลา แต่ประชาชนมารวมตัวกันเองเป็นกลุ่มใหญ่ และไม่มีใครมาว่าอะไรที่ผมไปเปิดหมู่บ้านคนเสื้อแดง"สุชาติ กล่าวถึงความภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนเสื้อแดง

'นักการเมืองโกงตายไม่ดีสักคน'จับครูฟังเทศน์แก้หนี้

พลันที่เข้ามารับตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ "สุชาติ" ก็ร่ายยาวถึงนโยบายทันทีที่จะทำใน 1 ปีจากนี้ ประเด็นแรก "สุชาติ" การันตีว่าจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงกับตาในเร็วๆ นี้ คือ แจกแท็บเล็ตให้เด็กถือไปโรงเรียนกับเรื่องลดหนี้ครูด้วยแนวทางอบรมธรรมะ

"ครูทุกคนทั่วประเทศขอให้ฟังทางนี้ วิธีลดหนี้ครู คือ ครูต้องมาฟังเทศน์ อย่ามองว่าเพ้อเจ้อ ผมยืนยันว่านโยบายให้ครูฟังเทศน์แก้ปัญหาหนี้สินท่วมหัวได้จริง ผมจะให้ครูมาฟังพระเทศน์ เพื่อจะได้รู้วิธีลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และขยายโอกาส คือลดรายจ่ายด้วยการส่งเสริมให้ทำบัญชีและอบรมธรรมะ ครูคนไหนอยากเป็นหนี้ก็เรื่องของครู นี่คือคำแนะนำ ไม่ใช่อยู่เฉยๆ

...ผมในฐานะรัฐมนตรีจะไปสั่งไม่ให้เป็นหนี้ไม่ได้ แม้แต่ลูกผมเองก็ยังสั่งไม่ได้เลยว่าห้ามไปก่อหนี้หรือลดหนี้ได้ ครูต้องไปฟังพระเทศน์ คือ ต้องลดการชักจูงให้ครูเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว และคงไม่ไปยุ่งกับวงจรการปล่อยกู้ เพราะคนที่อยากปล่อยกู้ก็เรื่องของคนคนนั้น แต่ครูไม่ควรไปเป็นหนี้ หลักการ คือ ให้ครูมีเสรีภาพและอิสรภาพ มีความเสมอภาคและมีความยุติธรรม ผมไม่ได้ไปเป็นคุณพ่อรู้ดีว่าคุณต้องไม่เป็นหนี้ เพราะครูต้องรับผิดชอบตัวเอง คนไทยต้องมีความเข้มแข็งของตัวเอง ต้องคิดเอง"

"วิธีแก้ปัญหาหนี้ครู คือ การจัดอบรมเรื่องธรรมะ พระจะเทศน์ โยมฟังนะ สามีภรรยา ทำไมต้องมีรถ 2 คัน เป็นหนี้เป็นสินเปล่าๆ ถ้าฟังแล้วไม่รู้เรื่องก็เรื่องของเขาและถ้าครูไม่ฟังพระเทศน์ก็เรื่องของ ครูเพราะครูเองก็เป็นคนที่สอนให้เด็กคิดเป็นทำเป็นใช่ไหม แล้วถ้าครูคิดไม่เป็นแล้วจะมาสอนเด็กให้คิดเป็นได้ไง แล้วถ้าเป็นหนี้สินจนถูกฟ้องก็ต้องถูกออกจากงานปีละ 20 คนนี่คือข้อมูลตอนนี้ ก็เหมือนคนกินเหล้า ผมเรียกให้มาฟังเทศน์ แล้วเมื่อฟังแล้วยังอยากกลับไปกินเหล้าอีก ก็แสดงว่าอยากไปตาย ก็เป็นเรื่องของเขาละกัน นี่คือสังคมที่ให้อิสรภาพ"

"สุชาติ" ยังยกคำพระขึ้นสอนครูต่อว่าทุกวันนี้โลกเรามีทั้งคนดีและคนเลวตามที่พระ พุทธเจ้าสอนมา 2,000 กว่าปีมาแล้ว แต่กระทรวงมีนโยบาย แต่ครูอยากทำตัวเองก็ตามใจ โดยจะให้ครูทั้งประเทศมาอบรมธรรมะโดยไม่ถือเป็นวันลา ครูต้องทำบัญชีรายได้-รายจ่าย เพื่อลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ถ้ายังมีกิเลสสูงอยู่ก็ช่วยไม่ได้ แต่ผมละซึ่งกิเลส ผมก็จะเทศน์ให้ฟัง และถ้าครูคนไหนยังจัดการกับชีวิตตัวเองไม่ได้ ก็ไม่ควรเป็นครูเพราะครูต้องคิดเป็นทำเป็น เพราะครูเป็นคนสอนให้เด็กคิดเป็นทำเป็น

สำหรับเรื่องขับเคลื่อนนโยบายในกระทรวงศึกษาธิการ "สุชาติ" กล่าวอย่างมั่นใจว่า นโยบายใดที่ผมจะทำนั้น รับรองผมสั่งงานอะไรในวันนี้ ภายในวันถึงสองวันเอกสารงานต้องเสร็จแล้ว และอีกสัปดาห์ต่อไปต้องลงมือทำงาน

"ผมวางแผนงานในตำแหน่งไว้ 1 ปีแม้จะมีอุปสรรคหรืออุบัติเหตุทางการเมืองก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อผมเข้ามาทำงาน ผมก็วางแผนการมาทำงานไว้แล้ว 1 ปี และผมก็ไม่เกรงใจและไม่อดทนต่อการไม่มีประสิทธิภาพในการทำงานที่ไม่ตอบสนอง ทางนโยบายด้วย"

รมว.ศึกษาธิการ ยังแสดงความมั่นใจว่ารับรองภายใน 6 เดือน เห็นการเปลี่ยนแปลงภายในกระทรวงอย่างแน่นอน คือ นักเรียนพูดภาษาอังกฤษดีขึ้น กฎระเบียบต่างๆ ที่ยุ่งยากจะทำให้ลดลง การเลื่อนเงินเดือนครูหรือวิทยฐานะจะต้องโปร่งใส มีคำตอบและกรอบเวลาชัดเจนที่สามารถตอบครูทุกคนได้ว่าจะให้ได้หรือไม่ได้

นอกจากนี้ การยัดเงินใต้โต๊ะให้ครูเพื่อให้ลูกหลานได้เรียนจะไม่มี และถูกขจัดออกไปโดยจะแยกแป๊ะเจี๊ยะกับเงินบริจาคแยกออกจากกัน เพราะถ้าไม่โกง ผมส่งเสริมให้มีการบริจาค โดยปรัชญาในการทำงาน คือ การศึกษาโรงเรียนให้มีคุณภาพทุกโรงเรียนระดับมหาวิทยาลัยและอาชีวะให้เป็น มืออาชีพ หรือนักเรียนเป็นศูนย์กลาง ครูเป็นญาติพี่น้อง

"ผมไม่เห็นด้วยเรื่องเก้าอี้ดนตรี คือ ถ้าเป็นผม ผมจะเอาคนเก่ง คนไม่โกงมาทำงาน เพราะตอนนี้ประเทศไทยล้าหลังกว่าหลายๆ ประเทศ เช่นเดียวกับหมู่บ้านคนเสื้อแดงที่เป็นคนยากคนจนที่รอความคาดหวังอยู่"

ขอจบชีวิตอย่าง'ขงจื๊อ'

นักการเมืองหลายคนมีเป้าหมายสูงสุดทางการเมืองต่างกัน บางคนคิดแค่อยากเป็นสส. แต่เมื่อได้เป็น สส. ก็คิดเป็นรัฐมนตรี และเมื่อได้เป็นรัฐมนตรี ก็คิดถึงการเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ "สุชาติ ธาดาธำรงเวช" รมว.ศึกษาธิการ กล่าวอย่างมั่นใจว่า ผมอยากเป็นเหมือน "ขงจื๊อ" คือทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้นคนได้เรียนหนังสือประเทศก็ได้พัฒนา ผมก็อยากเป็นคนเทศน์แล้วให้คนอื่นไปทำ แล้วถ้าคนส่วนใหญ่ยังไม่พร้อมทำก็เรื่องของคนส่วนใหญ่แต่ผมพร้อมแล้วปลายทาง ชีวิตของ ขงจื๊อตายตอนอายุ 98 ปี ท่านตายคล้ายพระพุทธเจ้าคือเทศน์จนกว่าจะสิ้นลม

พูดตามความจริงได้หลุดพ้นจากความต้องการที่จะมีตำแหน่งรัฐมนตรีแล้ว คือ เดิมผมได้ปฏิเสธโลภะ ในเรื่องหาเงินหาทองแล้วผมก็เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลังมาแล้ว ซึ่งผมก็ไม่รู้จะเป็นรัฐมนตรีไปทำไมอีก แต่ที่ทำงานการเมืองวันนี้เพียงเพื่อยังประโยชน์ให้ผู้อื่น เพราะความที่มีกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ แต่ผมอยากยังประโยชน์ให้ผู้อื่นมากกว่า ดังนั้นการได้ตำแหน่งอยู่ในขั้นโทสะเท่านั้นเอง ที่อยากมีอำนาจอยากสั่งคนโน้นคนนี้ แต่คนส่วนใหญ่อยู่ในขั้นโลภะ ที่อยากมีอำนาจเพื่อไปโกง เงินโกงมาแล้วพอตอนแก่ตัวลงก็เป็นอัมพาตกันทั้งนั้น ตายด้วยโรคมะเร็งก็หลายคน เตือนก็ไม่ฟัง ซึ่งผมก็ไม่ได้มีเป้าหมายใดที่จะเป็นรัฐมนตรี ที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีเพื่อยังประโยชน์เพื่อผู้อื่น

"ตัวผมเองก็พอมีพอกินไม่มีปัญหาอะไร ที่ผมทำงานการเมืองเพื่อช่วยเหลือพี่น้องคนจนในการทำนโยบายให้กับพรรคเพื่อ ไทยให้เขาได้มีกินลูกหลานได้เรียนหนังสือ เมื่อโตขึ้นก็ได้ไปพัฒนาประเทศ" สุชาติ กล่าว

เช่นเดียวกันเป้าหมายของชีวิตคนและผมไม่ใช่ได้เป็นรัฐมนตรี แต่เป้าคือทำแต่ละวันให้มีความสุข ความสุขในดุลพินิจคือไม่มีความทุกข์แค่นี้เอง แต่ละคืนที่นอนไม่มีอะไรหนักในสมองผมปล่อยวางหมดและทุกวันนี้ก็มีความสุข เกินไปแล้ว ผมไม่เคยภาวนาเลยว่าจะได้เป็นรัฐมนตรีแต่ผมภาวนาว่าให้ผมเป็นคนดี ผมภาวนาให้แม่ผมอายุยืน อย่าได้เจ็บไข้ได้ป่วย ตอนนี้แม่อายุ85 ปีแล้วเป็นโรคอัลไซเมอร์เท่านั้นเอง และไม่เคยภาวนาอะไรเพื่อตัวเองเลย

"สุชาติ" ยังได้กล่าวถึงคำนิยามของการปรองดองว่า แปลว่าการหาข้อเท็จจริง ความยุติธรรม จึงจะปรองดอง จะมาบอกให้ลืมๆ กันไปไม่ได้ ต้องหาว่าคนไหนผิดแล้วก็เปิดเผยให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็เกิดความปรองดองได้

ทั้งนี้ ทฤษฎีปรองดอง มีคือ หาข้อเท็จจริงให้ความยุติธรรม จึงจะมีสันติได้ เพราะจะไม่มีสันติได้หากไม่ได้หาข้อเท็จจริงและให้ความยุติธรรม เช่นเดียวกับลูกทะเลาะกัน ลูกคนที่ 3 รังแกคนอื่น แต่แค่รับรู้ว่าใครผิดโดยไม่ต้องลงโทษ และลูกคนที่ 3 ต้องยอมรับว่าทำผิด เพราะลูกคนอื่นๆต้องการความยุติธรรมและความรับผิดชอบ แค่นี่ก็อยู่ด้วยกันได้แล้ว มีไหมในบ้านที่ไม่ยอมรับรู้เช่นเดียวกับประเทศนี้บอกให้ลืมหมดว่าใครฆ่าใคร ไม่มีใครทำแบบนี้หรอก สำหรับประวัติศาสตร์ของไทยมีความยุติธรรมที่ไหน 80-90 ปีเพราะเราอยู่ในสังคมศักดินา

"เป็นเรื่องของประชาชนแต่ละคนผมก็ให้ความเห็นประการหนึ่งเท่านั้นและการ จะบรรจุประวัติใดๆ ลงไปก็ต้องดูตามข้อเท็จจริง ในหลักสูตรการศึกษาก็ต้องตรงไปตรงมาโดยจะมีคนพิสูจน์และกรรมการตรวจสอบ เช่นเดียวกับบ้านเราการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบทางการเมือง 7.7 ล้านบาท ถามว่ามีคนจ้างคุณไปตาย 7 ล้านกว่าบาทจะเอาไหม คนที่พูดไม่เข้าใจ และไม่มีใครเอาหรอก ไม่ว่ายากดีมีจนแค่ไหน" รมว.ศึกษาธิการ กล่าวทิ้งท้าย


สำนักงานบัญชีและธุรกิจ พี.เอ.แอล.,สำนักงานสอบบัญชี พีแอนด์อี
ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,จดทะเบียนธุรกิจ,วางระบบบัญชี

Tags : ชีวิตผกผัน ขุนคลัง เสมา 1

view