จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
วัฏจักรขาลงของทองที่คาดว่าจะมาถึงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ทำให้เกิดข้อข้องใจว่าทองจะมีโอกาสต่ำกว่าบาทละ 2 หมื่นหรือไม่ คลิกเข้าไปอ่าน
ต้องยอมรับว่า "ทองคำ" คือ เส้นทางลงทุนที่ไม่เคยอัตคัดนักลงทุน
แม้จะต้องลงทุนท่ามกลางคำถามหลายประการ เป็นต้นว่า ทองกำลังจะเดินเข้าสู่วัฏจักรขาลงใน 2-3 ปีข้างหน้าใช่หรือไม่ แล้วโอกาสที่เราจะเห็นทองราคาต่ำกว่าบาทละ 2 หมื่นมีหรือไม่ รวมถึงในปีแห่งความผันผวนของทองอย่างนี้ เราจะมีกลยุทธ์รับมือกับแรงสวิงอย่างไร และอย่างแย่สุดปีนี้เราควรจะได้ผลตอบแทนจากทองซักกี่เปอร์เซ็นต์
ทั้งหมดนี้ Fundamentals รวบรวมความเห็นจากคนในแวดวงทองและการลงทุนมานำเสนอ จะได้ลงทุนอย่างสบายใจสบายกระเป๋า
***
ไม่ว่าราคาทองจะขึ้นหรือตก ผันผวนหรือสงบนิ่ง แต่ทองคำก็ยังเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนให้ความสนอกสนใจเสมอ แต่ท่ามกลางการขยับขึ้นอย่างเหวี่ยงตัวทุกระยะของทองคำ ทองคำก็ยังถูกคาดคะเนว่า "วัฏจักรขาลง"ของทองกำลังขยับเข้าใกล้เราๆ ท่านๆ ทุกขณะ ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อถึงเวลานั้น ทองจะเคลื่อนตัวในลักษณะไหน
มาดูความเห็นของคนในแวดวงการเงินและการลงทุน ที่ช่วยทั้งประเมินสถานการณ์ของทอง และคะเนผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับในปีนี้
O ผลตอบแทนปีนี้น่าจะยังได้ 15-20%
"ธนรัชต์ พสวงศ์" กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส มองว่า โดยปกติทองคำจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 10% ต่อปี แต่สำหรับปี 2555 นี้ เพียงเดือนมกราคมราคาทองในตลาดโลกก็ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเป้าไปแล้ว แต่สำหรับทองแท่งในประเทศอาจยังต่ำกว่า 10% เพราะได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท ดังนั้นใครที่เทรดเก็งกำไรระยะสั้นจึงต้องเริ่มเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจมีการปรับฐานของราคา แต่คงไม่ได้หมายความว่าปีนี้ตลอดทั้งปีราคาทองจะไม่ไปไหนอีกแล้ว เนื่องจากกรณีปัญหายุโรปและสหรัฐยังผลัดดันกดดันการลงทุนในตราสารทางการเงินอย่างต่อเนื่อง และแม้ในช่วงหลังๆ นี้ราคาทองจะปรับตัวขึ้นลงตามสินทรัพย์เสี่ยง แต่ท้ายที่สุดความเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยก็จะกลับทำให้ราคาทองปรับขึ้นได้ต่อในภาพรวม และระดับอัตราผลตอบแทนของทองคำคาดว่าจะอยู่ที่ราว 15-20% ในปีนี้ เพียงแต่ระดับดังกล่าวการซื้อขายทองคำคงต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มมากขึ้นเพราะถือว่าเป็นระดับผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่เคยทำมา
ด้าน "เอเกต ตัณฑชน" รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท จีทีโกลด์ บูลเลี่ยน เชื่อว่าหากมองถึงการลงทุนทองสำหรับปี 2555 คิดว่าน่าจะเป็นปีที่ท้าทายสำหรับนักลงทุน และเมื่อมองถึงผลตอบแทนในการลงทุนทองคำคงจะเลี่ยงไม่ได้ที่จะกล่าวถึงปัจจัยหลักๆ สองประการที่ทำให้ราคาทองผันผวนและเป็นตัวกำหนดทิศทางของราคาทองคำในปีนี้ คือนอกจากขึ้นกับค่าเงินดอลลาร์ สหรัฐ และการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐแล้ว ยังขึ้นกับความผันผวนของเศรษฐกิจยุโรปด้วย
เมื่อดูจากการดำเนินนโยบายของเฟดและวิกฤติหนี้ของยุโรปแล้ว ทองคำปี 2555 น่าจะอยู่ในกรอบ 1475-1920 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเมื่อมองถึงผลตอบแทนของทองคำหลายปีที่ผ่านมาจะเห็นว่าโดยเฉลี่ยผลตอบแทนจะอยู่ที่ประมาณ 20% ในภาวะผันผวนของเศรษฐกิจที่มีผลต่อราคาทองคำการเข้า-ออกลงทุนอย่างถูกจังหวะก็สามารถทำให้นักลงทุนทำกำไรได้มากกว่า 20%
ส่วน "ฐิภา นววัฒนทรัพย์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส ประเมินว่า การลงทุนทองคำในปี 2555 นี้ จะยังคงให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 10-15% ซึ่งวายแอลจีประเมินจาก ผลตอบแทนในช่วงปีก่อนหน้า เพราะเนื่องจากปัจจัยพื้นฐานที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าจะเป็น ปัญหาหนี้สาธารณะของยุโรปหรือปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ทำให้วายแอลจีเชื่อว่าผลตอบแทนที่ได้จะไม่ต่ำกว่าในช่วงปีที่ผ่านมา แต่จะได้มากกว่าเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานดังกล่าวว่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด
ขณะที่ "ณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ" กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ส มองว่าในปีนี้ราคาทองคำน่าจะผันผวนเหมือนปีก่อน ส่วนผลตอบแทนยังจะอยู่ที่ประมาณ 5-8% และอาจจะได้เห็นราคาทองคำแตะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ประมาณ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เหตุผลหลักมาจากปัจจัย 3 ข้อ ดังนี้ คือ
1. เศรษฐกิจหนี้ยุโรปที่ยังมีปัญหาอยู่ตลอดปี 2554 คิดว่าน่าจะยังหาทางออกได้ไม่ชัดเจนในช่วงครึ่งปีแรกของ ปี 2555 และน่าจะมีการอัดฉีดเงินยูโรมหาศาล (โดยการพิมพ์ธนบัตรออกมา คล้ายๆ มาตรการ QE ของอเมริกา) เข้าไปในระบบยูโร เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2555
2. เศรษฐกิจอเมริกาเริ่มมีการพลิกฟื้น แต่ทว่า เงินที่อัดฉีดเข้ามาใน QE 2 เริ่มจะหมดลง ซึ่งทางธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา หรือ FED อาจต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม ซึ่งอาจรวมถึงการอัดฉีดเงินเข้ามาในระบบเพิ่มเติม ทำให้เงินดอลลาร์ อาจจะยังอ่อนค่าลงตลอดปี 2555 นี้
3. ธนาคารกลางทั่วโลก เริ่มมีสัญญาณซื้อเป็น Net Buy ทองคำ หรือพูดง่ายๆ ว่า มีการซื้อมากกว่าขาย เพราะธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มเห็นสัญญาณเงินเฟ้อที่จะเกิดขึ้นใน 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องด้วยการพิมพ์ธนบัตรออกมามหาศาล เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของยุโรปและอเมริกา
O ต่ำ 2 หมื่นเป็นไปได้หรือไม่มีโอกาส
ต่อข้อสังเกตการณ์ที่ว่า หากทองเดินสู่วัฏจักรขาลง จะมีโอกาสกลับมาเห็นราคาทองในระดับต่ำกว่า 2 หมื่นหรือไม่ ธนรัชต์มองเป็น 2 กรณี เรื่องแรกคือวัฏจักรขาลง เรายังมองไม่เห็นปัจจัยที่จะทำให้ราคาทองกลับเป็นช่วงขาลง ยกเว้นเพียงรูปแบบการเคลื่อนไหวทางเทคนิคที่มีทฤษฎีการนับคลื่นว่าราคาปัจจุบันอยู่ตรงไหนและกำลังจะหมดช่วงขาขึ้น ซึ่งคงไม่ปฏิเสธแนวทางการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบัน แต่เชื่อมั่นในเหตุและผลมากกว่า โดยกลไกราคาที่อธิบายว่าเมื่อใดที่มีความต้องการซื้อมากกว่าสินค้าที่ผลิตได้ เมื่อนั้นราคาย่อมปรับตัวสูงขึ้น และในปัจจุบันปริมาณการผลิตทองคำเริ่มทรงตัวแต่ปริมาณความต้องการทองคำมีเพิ่มขึ้นทั้งในรูปทองคำจริงหรือบรรดากองทุนและตราสารทางการเงินที่มีทองคำเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง จนความต้องการซื้อทองกลับมีเพิ่มมากขึ้น จึงยังเชื่อว่าวัฏจักรขาลงคงยังไม่เกิดขึ้นในช่วงเวลาอันใกล้นับจากนี้
"ส่วนประเด็นที่ 2 เรื่องราคาต่ำกว่า 2 หมื่นนั้น คงไม่ต้องรอวัฏจักรขาลง หากแต่ความผันผวนที่เกิดขึ้นมากตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก ก็อาจส่งผลให้ราคาทองปรับลงไปต่ำกว่า 2 หมื่นบาทได้ เพียงแต่ราคาในระดับต่ำกว่า 2 หมื่นนั้น คงมีความต้องการซื้อเข้ามามาก จนเป็นราคาที่ต้องจัดว่าเป็นราคาในฝันสำหรับคนที่ยังไม่ได้เข้ามาลงทุนในทองคำ "
แต่ เอเกต มองว่า ถ้าเกิดวัฏจักรขาลงอาจจะต้องคาดหวังว่าเมื่อไหร่เศรษฐกิจของสหรัฐและการดำเนินนโยบายของผู้ดำเนินนโยบายจะเปลี่ยนไป รวมถึงในด้านปริมาณการผลิตทองคำที่มีอยู่อย่างจำกัด อีกทั้งจีนจะมุ่งเพิ่มเปลี่ยนทุนสำรองของจีนในรูปดอลลาร์ซึ่งเป็นสินทรัพย์ส่วนใหญ่ในทุนสำรองของจีนมาเป็นในรูปทองคำมากขึ้น โดยปัจจุบันจีนมีสัดส่วนทุนสำรองเป็นทองคำเพียง 1.8% ในขณะที่ดอลลาร์มีความเสี่ยงที่จะอ่อนมูลค่าลงในอนาคต จึงเป็นการบีบให้จีนต้องเร่งระบายดอลลาร์ออกเพื่อไปถือครองสินทรัพย์ประเภทอื่น นั่นคือ ทองคำ ดังนั้นการที่จะกลับมาเห็นราคาทองต่ำกว่า 2 หมื่นก็คงเป็นเรื่องยากเช่นกัน
"ย้อนมาดูวัฏจักรขาลงของทองในอดีตในปี 1980-1985 พอล วอร์เกอร์ อดีตประธานเฟดเลือกใช้เครื่องมือโดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้นักลงทุนมุ่งลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ให้ผลตอบแทนสูงถึง 20% จึงทำให้ราคาทองตกลงอย่างรุนแรงเรียกได้ว่าเป็นวัฏจักรขาลงอย่างแท้จริง แต่เมื่อมองสภาพการดำเนินนโยบายของเฟดและรัฐบาลสหรัฐในปัจจุบัน คงมีโอกาสยากที่จะเห็นวัฏจักรขาลงของทองคำเหมือนในปี 1980 มีปัจจัยหลายๆ อย่างที่ทำให้ราคาทองคำขึ้นราคามาตลอดสิบปีจนถึงทุกวันนี้ การใช้จ่ายเกินตัวของสหรัฐ การดำเนินนโยบายดอกเบี้ยต่ำ มาตรการคลายสภาพคล่องอย่าง รวมถึงการคาดหวังว่าอาจจะมี QE3 ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ยกระดับความเข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิม"
"ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์" รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.วรรณ คาดว่าราคาทองน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 1,500-1,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในปีนี้ และเขาคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่จะเห็นราคาทองกลับไปต่ำกว่า 2 หมื่นบาทอีก เนื่องจากว่าหากราคาทองคำไทยจะปรับลดลงต่ำกว่า 2 หมื่น น่าจะต้องเห็นราคาทองคำโลกปรับลดลงต่ำกว่าระดับ 1,500 ประกอบกับการที่ค่าเงินบาทน่าจะต้องมีการแข็งค่าขึ้นมาต่ำกว่าระดับ 30 บาท ซึ่งหากพิจารณาแนวโน้มการกู้ยืมของภาครัฐ และปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจอื่นๆ ของประเทศเรา น่าจะเป็นไปได้ค่อนข้างยากที่ค่าเงินบาทจะมีโอกาสแข็งมากๆ ในปี 2555
"คาดว่าราคาทองน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 1,500-1,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในปีนี้ โดยราคา 1,500 น่าจะเกิดขึ้นในกรณีที่เศรษฐกิจโลกปรับดีขึ้นกว่าปัจจุบัน ประกอบกับเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้นทำให้แนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและแนวโน้มทิศทางการดำเนินนโยบายด้านการเงินของประเทศต่างๆ เริ่มแสดงท่าทีจะตึงตัวขึ้น สำหรับในกรณีที่ราคา 1,850 น่าจะเกิดขึ้นในกรณีที่ภาวะเศรษฐกิจไม่ดีและไม่แย่ ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับปัจจุบันหรือมีแนวโน้มปรับลดลงได้อีกเล็กน้อย ทำให้แนวโน้มทิศทางนโยบายทางการเงินของประเทศต่างๆ ยังคงค่อนข้างผ่อนคลาย อย่างไรก็ดีจากการที่เศรษฐกิจไม่ได้ปรับแย่ลงมาก ทำให้ความต้องการในการลงทุนในทองคำเพื่อเป็น Safe Haven ปรับลดลงประกอบกับการที่ทองคำมีการถูกปรับขึ้นค่ามาร์จินในตลาดอนุพันธ์ต่างๆ ทั่วโลกเพื่อเป็นมาตรการป้องกันการเก็งกำไรจากภาครัฐต่างๆ ทำให้ความต้องการจากการลงทุนน่าจะไม่อยู่ในระดับที่สูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา"
ฐิภา เห็นว่าวัฏจักรขาลงสามารถกดราคาทองคำให้ปรับตัวลงมาต่ำกว่า 2 หมื่น ว่ามีความเป็นไปได้ ซึ่งวายแอลจีประเมินว่าสถานการณ์นี้ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ ปัญหาเศรษฐกิจของโลกนั้นจบสิ้นลง นั่นแสดงว่าปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หรือปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป จะต้องถูกแก้ไขอย่างเบ็ดเสร็จ เพราะต้องไม่ลืมว่าการปรับตัวขึ้นมาของราคาทองคำในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น เกิดจากปัญหาเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก ดังนั้นการอ่อนตัวลงของราคาทองคำต่ำกว่า 2 หมื่นในมุมมองของวายแอลจีจึงขึ้นอยู่กับวิธีการแก้ไขปัญหาของสหรัฐและยุโรปเป็นหลัก แต่อย่างที่ทราบกันดีว่า ปัญหาหนี้ของสหรัฐฯนั้น เรื้อรังมายาวนาน ทำให้เชื่อว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแก้ไขได้อย่างรวดเร็วจึงทำให้วายแอลจีประเมินว่าราคาทองคำก็ไม่น่าจะอ่อนตัวต่ำกว่า 2 หมื่นได้ในเร็วๆ นี้
แต่โอกาสที่ราคาทองจะลงมาต่ำกว่า 20,000 บาท นั้น ณัฐพงศ์ คิดว่าน่าจะเป็นได้ยาก เนื่องด้วยราคาทองตอนนี้มีสินค้าอ้างอิงหลายปัจจัยที่ช่วยหน่วยราคาทองอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนทองคำ SPDR ที่มีการซื้อทองคำเก็บไว้จริง และก็ธนาคารกลางทั่วโลก มีการทยอยซื้อทองคำเก็บเข้าคลังสำรองราคาทองคำเป็นจำนวนมาก น่าจะสามารถทำให้ทองคำยืนฐานอยู่เหนือ 20,000 บาท ได้อย่างแข็งแรง เพราะมีปัจจัยสำรองที่ช่วยรับราคาอีกปัจจัยที่น่าจับตามคือ ผลกระทบของเงินเฟ้อ ที่กำลังจะเกิดขึ้นจากการพิมพ์ธนบัตร จำนวนมหาศาลทำให้สินค้าต่างๆ ไม่ใช่แค่ทองคำจะมีโอกาสขึ้นสูงขึ้นไปอีกในอีก 2-3 ปี ข้างหน้า
O กลยุทธ์ลงทุนทองในภาวะผันผวน
ธนรัชต์ มองว่า กลยุทธ์ลงทุนในทองในปีแห่งความผันผวนแบบนี้ ความรู้คงเป็นเกราะป้องกันภัยที่ดีที่สุดสำหรับในช่วงนี้ การลงทุนในทองมีการพัฒนาที่หลากหลาย ดังนั้นการศึกษาหาความรู้ การติดตามข่าวสารจึงเป็นเรื่องสำคัญ และเมื่อเราเข้าใจตราสารต่างๆ เหล่านั้นแล้ว ก็สามารถนำมาใช้เป็นเกราะป้องกัน ซึ่งเชื่อว่าความรู้ความเข้าใจในตราสารจะนำมาสู่ความสำเร็จในการลงทุน หรืออย่างน้อยก็คงจะทำให้บาดแผลคงเป็นแผลประเภทฟกช้ำเล็กๆ น้อยกว่า ซึ่งจะเป็นบทเรียนที่สำคัญที่จะนำมาสู่ความสำเร็จในการลงทุนในอนาคต
วิธีลงทุนโดยลดแรงผันผวน เอเกต บอกว่า นักลงทุนที่มีความรู้เกี่ยวกับราคาทองคำควรจะแบ่งพอร์ตการลงทุนเพื่อลงทุนสำหรับทองคำให้มากขึ้น และควรแบ่งกลยุทธ์การลงทุนในพอร์ตออกเป็นระยะสั้นและระยะยาว สำหรับนักลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญแนะนำให้จัดพอร์ตการเป็นลงทุนในระยะสั้นในสัดส่วนที่มากกว่า เนื่องจากราคาทองมีความผันผวนจะได้ไม่เสียจังหวะในการทำกำไร ส่วนกลยุทธ์ระยะยาวเป็นการสะสมซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวลง
ขณะที่ ดร.วิน มองว่า ตลาดที่ผันผวนจะเอื้อต่อการใช้กลยุทธ์เฉลี่ยซื้อสำหรับนักลงทุนระยะยาว (Dollar cost averaging) ซึ่งทาง บลจ.วรรณ ได้มีการสนับสนุนให้นักลงทุนระยะยาวมีการลงทุนผ่านระบบ Automatic Millionair Program" ซึ่งสอดคล้องกับการลงทุนแบบ Dollor Cost Averaging
"สำหรับนักลงทุนระยะสั้น แนะนำให้ลงทุนในรูปแบบที่มีสภาพคล่องสูง อาทิเช่น กองทุนอีทีเอฟที่อยู่ในตลาดไทยที่สามารถซื้อขายได้ตลอดวัน และได้เปรียบกองทุนรวมประเภท Feeder fund ที่ซื้อขายได้ราคาปิด ณ สิ้นวัน เพียงราคาเดียว โดยและนำว่านักลงทุนควรลงทุนในกองทุนอีทีเอฟมีลักษณะโครงสร้างอ้างอิงกับทองคำแท่งมากกว่าอ้างอิงกับผลดำเนินงานของกองทุนต่างประเทศ ซึ่งอาจจะมีความเสี่ยงด้านราคาเพิ่มเติมได้ โดยทาง บลจ.วรรณเองก็แนะนำให้นักลงทุนเทรดในกองทุนอีทีเอฟ GOLD99 ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยและอ้างอิงกับราคาทองคำ 99.9%"
ข้อแนะนำของ ฐิภา ในการลงทุนให้บาดเจ็บน้อยที่สุดยังคงเน้นย้ำให้นักลงทุนใช้กลยุทธ์การเข้าซื้อเป็นหลัก โดยการซื้อแบ่งออกเป็นสองรูปแบบคือ ซื้อแล้วถือ (Buy and hold) ซึ่งกลยุทธ์นี้ มักใช้เมื่อราคาอ่อนตัวลงมาถึงแนวรับที่ต่ำกว่า 1,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ลงมา ส่วนอีกกลยุทธ์หนึ่งคือ ซื้อเก็งกำไร (Speculative buy) มักใช้เมื่อราคาอ่อนตัวลงมายังแนวรับ และขายเมื่อราคาขยับตัวเข้าใกล้โซน 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขึ้นไป ซึ่งมักจะพบว่าราคาทองคำจะมีความผันผวนมาก อันเกิดจากแรงขายทำกำไรสลับกับการขยับตัวขึ้นของราคา ทำให้นักลงทุนอาจลดสถานะซื้อเมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้าน แล้วกลับเข้ามาซื้อใหม่เมื่อราคามีการอ่อนตัวจากแรงเทขายทำกำไรลงมาแรงๆ เช่นนี้จะทำให้นักลงทุนปลอดภัยจากความผันผวนของราคาได้
ณัฐพงศ์ บอกกลยุทธ์สำคัญสำหรับการลงทุนทองคำให้ประสบความสำเร็จคือ Stop loss ในใจทุกครั้งที่มีการลงทุน ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดในการลงทุนทองคำอยากให้นักลงทุนมองว่า ถ้าเมื่อไหร่คุณได้หยุดขาดทุนโอกาสที่จะทำกำไรก็จะมีมากขึ้น เปรียบเสมือนการรู้จักหยุดเนื้อร้ายที่กำลังลามเข้าทำร้ายร่างกายเรา ถ้าเราหยุดโดยการตัดเนื้อร้ายออกไป ร่างกายเราก็จะปลอดภัยและสามารถกลับมาแข็งแรงอีกครั้งดังนั้น การฝึกจิตวิทยาในการลงทุนที่จะสามารถตั้งจุด ในการตัดขาดทุนได้ จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญในการลงทุนทองคำปีนี้
ทั้งหมดนี้คือมุมมองของ 5 คนรุ่นใหม่ในแวดวงการลงทุนถึงอนาคตของทองคำ
สำนักงานบัญชีและธุรกิจ พี.เอ.แอล.,สำนักงานสอบบัญชี พีแอนด์อี
ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,จดทะเบียนธุรกิจ,วางระบบบัญชี