จาก โพสต์ทูเดย์
โดย...วรวรรณ ธาราภูมิ
คำว่า “ประชาธิปไตย” หรือ “Democracy” อุบัติขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในกรีซ
ในยุคเริ่มแรกของประชาธิปไตยนั้น ประชาชนผู้ออกเสียงเขาได้ออกเสียงเลือกหนทางในแต่ละเรื่อง ไม่ใช่แค่ออกเสียงเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนปวงชนหรือแค่เลือก พรรค
คนจะออกเสียงเลือกได้ว่าจะทำสงครามไหม โดยที่เขารู้ก่อนจะออกเสียงว่ามันต้องใช้เงินจำนวนมากในการทำสงคราม รู้ก่อนว่าจะมีการเจ็บการตาย รู้ก่อนว่ามีโอกาสที่จะเป็นเมืองขึ้น เป็นทาสหากพ่ายแพ้
นั่นละประชาธิปไตยของแท้
อีกตัวอย่างของประชาธิปไตยของแท้ ก็ต้องย้อนไปศึกษาที่เมืองฟลอเรนซ์ อิตาลี ในช่วงศตวรรษที่ 15
เชื่อไหมละว่าคนฟลอเรนซ์เขาออกไปลงคะแนนเสียงว่าเขาต้องการสร้างโบสถ์คาทอลิกอีกสักแห่งหรือไม่
เมื่อเสียงส่วนใหญ่บอกว่าสร้าง เขาก็ไปโหวตกันอีกว่าจะให้หน้าตาโบสถ์ออกมาเป็นยังไง ซึ่งเขาก็มีการสร้างโมเดลตัวอย่างมาให้เห็นกันจะจะ ในหลายๆ แบบ ทำให้ผู้ลงคะแนนเสียงได้เห็นล่วงหน้าว่าถ้าสร้างโบสถ์ออกมาแล้วหน้าตาจะดี ไหม จะเหมาะกับพื้นที่ที่โบสถ์นั้นจะตั้งอยู่ไหม เขาจะได้รู้ล่วงหน้าแม้กระทั่งว่าจะใช้วัสดุและวิธีก่อสร้างกันอย่างไรในแต่ ละโมเดลที่เอามาให้ลงคะแนนเลือกกัน และเขารู้กันล่วงหน้าว่าจะต้องใช้เงินเท่าไร
นั่นคือประชาชนมีโอกาสได้รับรู้ทางเลือกอย่างละเอียดถี่ถ้วนและ โปร่งใส รู้ผลดีผลเสียของทางเลือกนั้นก่อนที่จะตัดสินใจเลือกหนทางที่เขาชอบที่สุด
ไม่น่าจะมีหนทางที่เกลียดน้อยที่สุดแล้วต้องจำใจเลือก ตามที่เคยถูกกรอกหูมาหลายๆ ครั้ง
และเขาก็ยินยอมพร้อมใจที่จะรับผลเสียจากการเลือกของเขา ในขณะที่คนอยู่ข้างแพ้ ก็จะรับรู้ว่าคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ชอบทางเลือกอื่นมากกว่า และยอมรับในเสียงข้างมาก เพราะเขาก็ได้เห็นข้อดีข้อเสียของแต่ละทางเลือกกันโดยถ้วนทั่ว แต่ในเมื่อคนข้างชนะเขาเลือกทางอื่น คนข้างแพ้ก็ยอมรับได้ ซึ่งคนข้างชนะก็ได้เห็นข้อดีข้อเสียของทางเลือกอื่นๆ ที่เขาไม่เลือก และให้ความเคารพในเสียงข้างน้อยเช่นกัน
ที่เป็นเช่นนี้ ที่เขายอมรับกันและกันได้ ก็เพราะทุกขบวนการมีความโปร่งใส มีการให้ความรู้แก่ผู้คนก่อนจะให้ลงคะแนนเลือกทางที่คนส่วนใหญ่ชอบที่สุด
แต่วันนี้ ประชาธิปไตยกลับกลายเป็นระบบการปกครองที่ทำให้เกิดการโกงกินกันได้มากที่สุด
ประชาธิปไตยกลายเป็นช่องทางให้คนวงในเข้าไปโกงทั้งเงินและอำนาจจากคนวงนอก โดยเสแสร้งว่านี่คือความต้องการของเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ
ไม่เชื่อก็ลองเอาแต่ละนโยบายมาให้คนลงคะแนนกันสิ
จะมีคนอเมริกันสักกี่คนที่จะยอมลงคะแนนเสียงให้เอาเงินภาษีไปอุ้มธนาคาร
จะมีคนไทยสักกี่คนที่ออกเสียงลงคะแนนให้โรงเรียนรับแป๊ะเจี๊ยะที่ฟอกตัวจนขาวสะอาดโดยเปลี่ยนชื่อเป็นเงินบริจาค
แต่ผู้ลงคะแนนเสียงในวันนี้ ไม่เคยได้รับโอกาสเหมือนชาวกรีซ ชาวฟลอเรนซ์ในสมัยก่อนเลย
การเลือกตั้งในทุกวันนี้ อย่างดีก็บอกว่ามีนโยบายว่าจะทำนั่นให้ ทำนี่ให้ แต่ไม่เคยบอกเลยว่ามันมีผลดี ผลเสีย อย่างไร จะใช้เงินเท่าไร ก่อนที่คนจะลงคะแนน
ภาษาวาณิชธนกิจเขาเรียกว่า ไม่มีการทำ Due Diligent ก่อนจะตัดสินใจ
ภาษาผู้จัดการกองทุนเขาเรียกว่า ไม่ได้ทำหน้าที่ด้วยความระมัดระวังรอบคอบสมกับวิชาชีพ ก่อนจะไปซื้อขายหุ้น
ภาษาธนาคารเขาเรียกว่า ปล่อยสินเชื่อหละหลวม ไม่รอบคอบ ไม่วิเคราะห์ให้ดีก่อนว่าปล่อยหนี้ให้แล้ว ลูกค้าจะมีปัญญาหาเงินมาคืนได้หรือไม่ แถมยังไร้หลักประกัน ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อฐานะของธนาคารเป็นอย่างยิ่ง
ผู้ลงคะแนนเสียงในวันนี้ ไม่ได้รับโอกาสให้โหวตในแต่ละเรื่อง ในแต่ละนโยบาย เพราะระบบให้เลือกผู้สมัครที่ได้รับเงินอุดหนุนจากคนวงใน หรือพวก Insider ที่ต้องการประโยชน์จากทรัพย์สินหรืออำนาจส่วนรวมที่พวกเราคนนอก หรือ Outsider ไม่สามารถเข้าถึงได้
และหลายๆ เรื่องมันก็น่าเกลียด น่ากลัว เกินกว่าที่คนนอกอย่างเราจะจินตนาการได้ว่าจะมีใครกล้าทำขนาดนั้น
ประชาธิปไตยในวันนี้ ไม่ว่าจะในประเทศไหนต่างก็ออกห่างจากประชาธิปไตยของแท้ต้นแบบไปไกลลิบ เพราะมันก็แค่ระบบการปกครองที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปเข้าคูหาเพื่อลงลายมือ ชื่อในเช็คเปล่าที่ยังไม่ได้ใส่ตัวเลข
หลังจากนั้นใครอยู่ข้างชนะก็เอาเช็คเปล่านั้นไปชำเรากันตามใจชอบ
คนวงนอกอย่างเราจะพอใจหรือไม่พอใจ ก็ไม่มีผล
เพราะคำตอบที่ได้ก็คือ อ้าว ก็เลือกเขาเข้าไปเองนี่ หรือไม่ก็ว่า เสียงส่วนใหญ่เลือกแล้ว อย่าทะลึ่ง
ถึงเวลาหรือยัง ที่เราจะเปลี่ยนชื่อ “ประชาธิปไตย” เป็น “ประชาธิปตาย”
ภาษาอังกฤษก็ควรเปลี่ยนใหม่จาก Democracy เป็น Demo Crazy
ประชาธิปไตย ตายไปแล้ว เหลือแต่ ประชาธิปตาย พอๆ กับทุนนิยมเสรีของแท้ที่ไม่เคยเกิดจริงเลยสักครั้งในโลกนี้
สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน