อย่าใช้ความยุติธรรมของผู้ชนะ
จาก โพสต์ทูเดย์
ถ้ามีการใช้เสียงข้างมากนำไปสู่การปรองดองจะนำไปสู่การไม่ยอมรับ แม้ว่าฝั่งหนึ่งจะมีอำนาจรัฐ หรือออกกฎหมายมาใช้ แต่ถ้าคนยังรู้สึกว่าถูกบังคับมันก็ยังฝังอยู่
โดย.......ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม
อุณหภูมิปรองดองเดือดลามไปถึง "สถาบันพระปกเกล้า"หลัง เสนอวิธีสมานฉันท์สูตรต่างๆ ให้คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ปรองดองแห่งชาติของสภา ที่มีอดีตผู้นำรัฐประหาร พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นประธาน โดย กมธ. เสียงข้างมากจากฝ่ายเพื่อไทยลงมติเลือกแนวทางการล้างโทษทุกคดีความหลัง ปฏิวัติ 19 กันยา2549 รวมถึงคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ และคดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาทเล่นเอาฝ่ายต่อต้านทักษิณ ทั้งประชาธิปัตย์และคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ รัฐ (คตส.) ออกมาโจมตีสถาบันพระปกเกล้าว่า รับจ็อบทักษิณ
วุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า
วุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ผู้รับผิดชอบงานวิจัยชิ้นนี้ ถูกถล่มตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาจนเจ้าตัวโอดครวญตกเป็นจำเลยปรองดองที่ต้องอยู่ ท่ามกลางเขาควายความขัดแย้ง แต่ทำใจล่วงหน้าตั้งแต่มารับบทหนัก ทำ "พิมพ์เขียวปรองดอง" ฉบับนี้
"โพสต์ทูเดย์" พูดคุยกับ วุฒิสาร หลังนำเสนอผลวิจัยเสร็จในวันที่ กมธ.แถลงผลสรุปเมื่อ3 วันก่อน ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น โดยวันนั้น พล.ต.สนั่นขจรประศาสน์ ทิ่มคำถามไปยัง พล.อ.สนธิ ใครอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ ขณะที่ ทีมวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าก็ถูกฝ่ายประชาธิปัตย์ท้วงติงหลายประเด็น
วุฒิสารถอนหายใจ ก่อนระบายความรู้สึกกับเรา "ผมคุยกับน้องๆ ที่ทำงานวิจัยแล้วว่า ให้ทำใจนะสิ่งที่จะปกป้องเราได้คือ 1.เราไม่มีผลประโยชน์ใดแอบแฝง 2.เรามีความเป็นกลางและเป็นอิสระ เรามีหลักของเรา เราเสนออะไรเราอธิบายได้ แต่ไม่จำเป็นว่าคำอธิบายนั้นทุกคนจะเห็นด้วย ผมพูดกับน้องๆ ทุกคนว่าต้องพร้อมที่เราจะต้องเจอ และมันก็คือความจริง ผมยกตัวอย่าง ถ้าผมเสนองานวิจัยอีกด้านที่อีกฝ่ายได้เปรียบ คนที่เงียบวันนี้ก็จะออกมาพูด ผมถึงบอกว่าบรรยากาศที่ต้องการความปรองดองสงบนั้นไม่เห็น
"ทุกคนก็ถามว่าทำไมเราตัดสินใจเปลืองตัว เพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องเจ็บตัวโดยไม่จำเป็น แต่ผมเห็นว่าถ้าเราตั้งใจ ไม่ติดอยู่กับผลประโยชน์ใดและเราได้รับหน้าที่ ก็ต้องทำ มันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วถ้าคุณต้องการจับปลา คุณก็ต้องเปียกน้ำ คุณก็ต้องลงไป ก็ต้องรู้ผลของมันก่อนการตัดสินใจว่า ถ้าลงไปแล้ว จะได้รับผลอะไร"
วุฒิสาร ยืนยันว่า คณะผู้วิจัยมีความเป็นอิสระและข้อเสนอที่ออกมาก็มาจากกลุ่มนักวิจัย ฉะนั้นถ้าอยากติติงก็ควรลงมาที่คณะผู้วิจัย อย่าตำหนิสถาบันพระปกเกล้า เพราะสถาบันไม่ได้มีส่วน และคณะวิจัยก็ไม่ต้องการจะตอบโต้อะไร แต่ข้อเสนอปรองดองไม่มีทางถูกใจคนที่อยู่สุดโต่งของสองขั้ว ไม่ต่างจากศาลตัดสินคดีคนชนะก็รู้สึกว่าเป็นธรรม แพ้ก็บอกไม่เป็นธรรม
วุฒิสาร บอกว่า ได้ทำหน้าที่ตามที่ กมธ.มอบหมายให้จบแล้ว แต่อาจมีการปรับเนื้อหางานวิจัยเล็กน้อยตามที่ผู้นำฝ่ายค้านท้วงติงในเรื่อง ข้อเท็จจริงให้รัดกุมขึ้นส่วนเนื้อหาหลักๆ เรื่องแนวทางการสร้างปรองดองจะไม่ปรับเปลี่ยน จากนี้เป็นหน้าที่ของ กมธ. ซึ่งขอเตือนว่าอย่าใช้เสียงข้างมากลากถูเพื่อให้ได้ข้อยุติเพราะจะทำให้เกิด ความขัดแย้งรอบใหม่อีก ล่าสุด ได้ทำหนังสือยื่นต่อกมธ.ขอให้ทบทวนการการมีมติเสียงข้างมากของ กมธ.ฝ่ายเพื่อไทยเพราะการสร้างความปรองดองต้องใช้เวลาจะเร่งรัดไม่ได้เด็ด ขาด
"กมธ.ต้องไปฟังความเห็นที่แตกต่างมากขึ้นโดยเฉพาะคนกลางๆ ที่เป็นคนส่วนใหญ่ของสังคม เช่นภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม หอการค้า ผู้ประกอบการประชาชนทั่วไป ที่ยังรู้สึกอึดอัดกับความขัดแย้งที่มานานและก็ไม่ได้ยืนอยู่ฝั่งใดร้อย เปอร์เซ็นต์ อย่าฟังเฉพาะคนที่เห็นด้วยกับเรา"
ที่สำคัญ กมธ. ควรมีกระบวนการพูดคุยภายในก่อนเพื่อให้มีข้อยุติร่วมกันเพราะถ้าเข้าไปถึง สภาซึ่งเป็นเวทีสาธารณะ โดยที่ยังไม่มีข้อยุติ ก็นำมาสู่วาทกรรมในสภาและถ้ามีการลงมติก็จะถูกต่อว่าเหมือนเดิมว่าใช้เสียง ข้างมาก ซึ่งก็เป็นความยุติธรรมของผู้ชนะ กมธ.ต้องป้องกันสิ่งเหล่านี้ โดยทำให้เหตุและผลเข้ามาใกล้กันให้มากที่สุดก่อนมีการลงมติ ดีกว่าคิดว่า ใครมีเสียงมากกว่าใคร และใช้เสียงลากก็จะเป็นปัญหาไม่สิ้นสุด
"ถ้ามีการใช้เสียงข้างมากนำไปสู่การปรองดองจะนำไปสู่การไม่ยอมรับ แม้ว่าฝั่งหนึ่งจะมีอำนาจรัฐ หรือออกกฎหมายมาใช้ แต่ถ้าคนยังรู้สึกว่าถูกบังคับมันก็ยังฝังอยู่ สุดท้ายก็ไม่สามารถควบคุมความคิดเห็นหรือพลังประชาชนส่วนใหญ่ได้ แล้วทำไมเราไม่ทำให้ความเห็นเป็นที่ตกลงร่วมกันให้มากที่สุดก่อน"
รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ระบุว่า บทเรียนจากต่างประเทศในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง จะให้ความสำคัญกับความเห็นร่วมกันในสังคม ถึงจะเปลี่ยนแปลงเรื่องสำคัญได้แต่ปัจจุบันกระบวนการนี้ยังไม่เกิดขึ้นใน สังคมไทย ซึ่ง กมธ.และทุกฝ่ายต้องตระหนักจุดนี้โดยต้องทำให้พลังกลางๆ ออกมาพูดให้มาก หรืออาจมีกระบวนการสอบถามความเห็นประชาชน เช่น ทำโพลที่เป็นกลางว่า ประชาชนคิดอย่างไร เพื่อเป็นแรงกดดันกับฝ่ายที่ไม่ยอมลดราวาศอกและเอาแต่ประโยชน์ตัวเอง
"เราเห็นตัวอย่างจากความพยายามของภาคเอกชนที่จะต่อต้านการทุจริต แต่นั่นมันถึงจุดหนึ่งที่เขาคิดว่าไม่ไหว และเขาก็ใช้พลังของเขา แต่เรื่องการเมืองมันยังไม่ไปถึงไหน ทุกฝ่ายอาจยังมีประโยชน์หรือมีความสนุกยังอินว่าเป็นเรื่องปกติก็ไม่ต้องแก้ แต่คนที่เขาชัดเจนแล้วเขาก็ต้องขยับ และผมคิดว่าวันนี้คนที่รู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์ปัจจุบันมีเยอะ หลายคนอยากเห็นประเทศเดินต่อไป มีความก้าวหน้า แต่ทุกคนอาจจะรู้สึกว่าหากออกมาพูดแล้ว สื่อก็จะจับสีให้ทันทีว่าคุณเป็นพวกไหนพวกที่พูดแล้วคุณชอบ คุณก็จะชื่นชมและแผดร้องอีกฝั่งก็จะโจมตีด่าทอ ตรงนี้ที่เป็นปัญหาของสังคมไทย"
"ผมคิดว่าสังคมวันนี้ไม่ยุติธรรม บังคับให้คนเลือกข้าง อย่างนี้ไม่น่าจะเป็นทางออกที่ดีของประเทศ เราต้องคิดว่าวันนี้เอาสาระมากกว่าใครพูด แต่พอใครพูดอย่างนี้แล้วเราจะไม่ฟังสาระ เพราะเรามีอคติต่อบุคคลคติประเภทนี้มันสะท้อนว่าวันนี้ทำให้คนจำนวนหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศกลายเป็นพลังเงียบที่ไม่อยากพูดอะไร เพราะไม่อยากไปยุ่งเกี่ยว ไม่อยากเป็นพวกใคร ไม่อยากถูกตำหนิหรือถูกด่าทอด้วยคำหยาบทุกคนก็ไม่อยากแสดงความคิดเห็น แต่ผมคิดว่าถ้าทุกคนเป็นอย่างนี้หมด สังคมก็จะเข้าใจว่าคนในสังคมนี้คิดแบบสองข้าง หรือสองขั้วเสมอ ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่"
เขาบอกว่า แม้ว่ายังมีความเห็นต่างเรื่องแนวทางการปรองดอง แต่ก็มีพื้นที่ร่วมที่คู่ขัดแย้งเริ่มเห็นตรงกันและน่าจะแก้ปัญหาได้ เช่น การนิรโทษให้กับผู้ที่ฝ่าฝืนพ.ร.ก.และชุมนุมโดยสงบ แต่ที่เห็นต่างสุดขั้วคือ การนิรโทษกรรมในกรณีที่เป็นคดีอาญา และที่สังคมตั้งคำถามขณะนี้ คือการเยียวยาโดยไม่ได้ดูรายละเอียดของประเด็น ซึ่งตามข่าวจะเห็นว่า บางคนที่ได้รับการเยียวยายังมีคดีอยู่ ประเด็นอย่างนี้น่าจะสร้างความชัดเจนก่อน หรือ อาจให้คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอ ป.)ทำแทน เพราะถ้าใช้เสียงข้างมากโดยไม่หารือกันก่อนก็เป็นเรื่องที่เปราะบาง
ทำไมคิดว่า ยังไม่เห็นบรรยากาศการปรองดอง?"
ก็จากการพูดคุยกัน เราเห็นชัดว่า ทุกคนยังตั้งอยู่ในจุดยืนของตัว อยู่ในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าจะได้ประโยชน์แม้แต่ในสื่อต่างๆก็หยิบเฉพาะ ประเด็นที่เห็นด้วยบรรยากาศนี้อาจชี้ได้ว่า สังคมยังไม่รู้สึกว่าการปรองดองมีความจำเป็นถึงขั้นที่ต้องดำเนินการแต่ถาม ว่า อยากปรองดองไหมก็อยาก แต่ถามว่าถึงเวลาหรือยัง ผมคิดว่าคนยังรู้สึกว่ายังอยู่กันได้ในสภาพนี้ ใครชนะก็มาออกกติกาแบบความยุติธรรมของผู้ชนะ
"วันนี้บรรยากาศที่จะยอมรับเหตุผลของอีกฝ่ายมันยังไม่มี อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องเดินต่อซึ่งหลายประเทศเขาก็มีคนกลางที่จะเป็นคน ที่นำสู่การหาข้อยุติร่วมกัน แต่เราไม่มีบรรยากาศนี้สักเท่าไร ความจริงผมคาดหวังให้ กมธ.ทำสิ่งนี้"
ความยุติธรรมของผู้ชนะเห็นได้จากอะไรการร่างรัฐธรรมนูญหรือ? วุฒิ สาร ตอบ..."ถูกต้องครับ จริงๆ ที่ผ่านมาในอดีตก็เป็นอย่างนั้น เวลาที่มีความขัดแย้งและเมื่อมีการตัดสินได้ข้อยุติ ได้ผู้มีอำนาจ ผู้มีอำนาจรัฐก็มักออกกติกาที่ไม่คำนึงถึงอีกฝ่าย ซึ่งมันมีบ่อยครั้ง
"เราพูดไว้หมดนะว่า ไม่ควรเอาการแก้รัฐธรรมนูญมาปนเรื่องนี้และต้องรีบแก้เรื่องที่เป็นปัญหา ก่อนที่เห็นว่าไม่เป็นธรรม ซึ่งวันนี้เป็นจังหวะที่คุณมาเสนอแก้รัฐธรรมนูญ กลายเป็นยุทธวิธีการเดิน ต่างคนต่างทำเยอะ ต่างคนต่างเดินกันเยอะ"
แม้วุฒิสารจะเห็นว่ายังไม่มีบรรยากาศปรองดองหรือจุดเปลี่ยนในระยะสั้นนี้ แต่เขามองโลกแง่ดีว่าข้อเสนอของสถาบันพระปกเกล้าเป็นกุญแจที่จะไขเข้าไปสู่ การแก้ปัญหาในระดับหนึ่งได้ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ก็มีคณะกรรมการหลายชุดที่ เสนอแนวทางปรองดองไว้มาก แต่ทั้งหมดทุกฝ่ายต้องเห็นตรงกันก่อน
"โดยเฉพาะฝ่ายการเมืองที่ต้องทำการเมืองเพื่อบ้านเมืองให้มากขึ้นอย่าทำ การเมือง เพื่อประโยชน์ฝ่ายการเมือง มิฉะนั้นจะแก้ปัญหาไม่ได้ทุกคนต้องก้าวข้ามประโยชน์ส่วนตนบ้าง และเน้นประโยชน์ส่วนรวมให้มากยิ่งขึ้น" วุฒิสารสรุป
"ถ้ามีการใช้เสียงข้างมากนำไปสู่การปรองดองจะนำไปสู่การไม่ยอมรับ แม้ว่าฝั่งหนึ่งจะมีอำนาจรัฐ หรือออกกฎหมายมาใช้แต่ถ้าคนยังรู้สึกว่าถูกบังคับมันก็ยังฝังอยู่สุดท้ายก็ ไม่สามารถควบคุมความคิดเห็นหรือพลังประชาชนส่วนใหญ่ได้แล้วทำไมเราไม่ทำให้ ความเห็นเป็นที่ตกลงร่วมกันให้มากที่สุดก่อน"
ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องไม่ลามถึงสถาบัน
งานวิจัยชิ้นนี้ เดิมกำหนดจะสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ 60 คน ทั้งนักการเมืองอดีตนักการเมืองหลายพรรค แกนนำม็อบ นักวิชาการสันติวิธี สื่อมวลชนแต่ด้วยเวลาจำกัด ทำให้สัมภาษณ์ได้47 คน
ไฮไลต์คือ การสัมภาษณ์อดีตนายกฯคนสำคัญในช่วงวิกฤตความขัดแย้งวุฒิสาร ระบุว่า ได้สัมภาษณ์เกือบครบไล่เรียงตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บรรหาร ศิลปอาชาพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ส่วนที่ไม่ได้สัมภาษณ์ มี อานันท์ ปันยารชุนชวน หลีกภัย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
"เราสัมภาษณ์อดีตนายกฯ ทุกคนยกเว้น พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เพราะท่านอยู่เหนือการเมืองไปแล้ว บางท่านปฏิเสธ บางท่านนัดหมายแล้วไม่สบายก็เป็นข้อยกเว้นบังคับไม่ได้ ทุกท่านที่เราสัมภาษณ์ก็ใช้คำถามเดียวกัน เช่น ความขัดแย้งคืออะไร อะไรคือทางออก แต่ในรายละเอียดที่เป็นข้อเสนอแต่ละท่านก็เป็นความคิดเห็นที่แตกต่างกัน"
ในการสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณวุฒิสาร เดินทางไปเองโดยใช้งบสถาบันพระปกเกล้า เจ้าตัวบอกว่า มีความจำเป็นในทางวิชาการ ระหว่างการสัมภาษณ์มีการบันทึกเทปหมด แต่ไม่ขอเปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ พูดอะไรบ้าง
"ก่อนการถามเรายืนยันว่าทุกความเห็นไม่มีการระบุว่าเป็นใคร และถ้าท่านไม่ประสงค์บันทึกเทปเราก็ยินดี และหลายคนก็ไม่อยากให้เทป ท่านอยากจะพูดไปเราก็บันทึก ส่วนถ้าจะถามว่าใครพูดอะไรนั้น ในฐานะนักวิจัยคงตอบไม่ได้และไม่ควรตอบเพราะไม่มีประโยชน์"
ผลสรุปคร่าวๆ จากการสัมภาษณ์มีหลายประเด็นที่น่าสนใจ เช่น คู่ขัดแย้งเป็นใคร วุฒิสาร ระบุว่า มาจากพ.ต.ท.ทักษิณ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ขัดแย้งกับใครมีหลายคำตอบ เช่น ขัดกับรัฐไทยกลุ่มการเมือง ทหาร ข้าราชการ ส่วนเหตุแห่งความขัดแย้ง เช่น ความไม่เป็นธรรมในสังคม การแทรกแซงการเลือกตั้งการตั้งองค์กรพิเศษ การขัดหลักนิติธรรมความไม่เป็นธรรมที่เกิดจากระบอบทักษิณ ส่วนระบอบทักษิณคืออะไร มีหลายความหมาย เช่น เผด็จการรัฐสภาการลอยตัวอยู่เหนือการตรวจสอบ การคอร์รัปชัน อย่างไรก็ตามข้อเสนอที่ทุกฝ่ายเห็นร่วมกันคือ ความขัดแย้งไม่ควรลามไปถึงสถาบันกษัตริย์และต้องรีบแก้ไขโดยด่วน
เสรีภาพล้น ประชาธิปไตยเละ
บทสังเคราะห์ที่ได้จากงานวิจัยอะไรคือ ปฐมเหตุ สรุปความได้ว่า ปัญหาใจกลางของความขัดแย้งทางการเมืองที่ซับซ้อนในปัจจุบัน แม้ทุกฝ่ายจะเห็นตรงกันว่าระบอบ
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะเป็นระบอบการปกครองที่เหมาะสมกับประเทศไทยมากที่สุด แต่ ก็ยังมีความแตกต่างทางความคิดในแง่การให้น้ำหนักกับคุณค่าระบอบประชาธิปไตย ระหว่างการให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งและการเป็นตัวแทนของประชาชน กับการให้ความสำคัญกับคุณธรรมและความซื่อสัตย์สุจริตของผู้นำประเทศ
รายงานวิจัยชิ้นนี้ ระบุว่า ฝ่ายที่ให้ความสำคัญกับระบอบประชาธิปไตยที่ยึดเสียงข้างมาก จะไม่ยอมรับพฤติกรรมทางการเมืองนอกระบบรัฐสภา ไม่ต้องการให้เชื่อมโยงกับระบบการเมืองที่เชื่อว่าเป็นกลุ่มอำนาจดั้งเดิม และไม่ต้องการให้มีการแทรกแซงทางการเมืองจาก
ฝ่ายต่างๆ โดยเฉพาะระบบราชการ องค์กรตุลาการ และต้องการให้สถาบันการเมืองทั้งหมดมีความเชื่อมโยงกับประชาชนและไม่สนับ สนุนการรัฐประหาร ส่วนอีกกลุ่มเห็นว่าความชอบธรรมการเมืองอยู่ที่กระบวนการทางการเมืองทั้งหมด ที่ต้องมีความถูกต้องชอบธรรม แม้การเมืองจะมีที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ก็ต้องเลือกตั้งโดยถูกต้องโปร่งใส ระบบการเมืองต้องมีการตรวจสอบถ่วงดุลและปราศจากการคอร์รัปชัน
วุฒิสาร ขยายความว่า ปัญหาของเราคือการมองประชาธิปไตยที่แตกต่างกัน กลุ่มหนึ่งในสังคมให้คุณค่าเรื่องประชาธิปไตยคือ เสียงข้างมาก ถ้ามาจากการเลือกตั้งแล้ว แปลว่า มีความชอบธรรมที่จะทำได้ทุกอย่าง อีกกลุ่มเป็นประชาธิปไตยที่เน้นคุณธรรม จริยธรรม ความซื่อสัตย์เน้นคุณค่า กล่าวคือ ความรู้สึกที่ว่าประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องเสียงข้างมากอย่างเดียวเสียงข้าง น้อยก็ต้องได้รับการดูแลรับฟังเช่นเดียวกัน
แล้ววันนี้ประเทศไทยเปลี่ยนไปไหมในแง่ประชาธิปไตยเทียบกับแต่ก่อน? วุฒิ สารนิ่งคิด "ผมว่าก็ดีขึ้นนะ คนกล้าพูด กล้าแสดงออก แต่เราก็ต้องดูเรื่องความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ประชาธิปไตยที่มีเสรีภาพโดยไม่มีสติ ไม่มีอะไรมาควบคุมได้ ขอบเขตไม่รู้อยู่แค่ไหนก็เป็นปัญหา การใช้สิทธิต้องมีขอบเขตของมันแต่วันนี้เราก้าวข้ามเส้นนั้นไป จนกลายเป็นทำอะไรที่ขัดกับสิ่งที่คนส่วนใหญ่แสดงออกแล้วกลายเป็นศัตรูไม่ เป็นประชาธิปไตย
วุฒิสาร ให้ข้อคิดว่า ความขัดแย้งที่ผ่านมา ด้านดีทำให้เราอยู่ในบรรยากาศการเรียนรู้ของสังคมครั้งใหญ่ มีการกระทำผิดในสิ่งที่ไม่ควรทำหลายครั้งหลายเหตุการณ์ คำถามคือ เราจะมีแนวทางที่จะทำให้สิ่งที่กระทำผิดนั้นได้ถูกอธิบายและไม่ให้ทำผิดซ้ำ ในสังคมหรือไม่ส่วนตัวก็ไม่เห็นด้วยกับการยึดทำเนียบฯ การปิดสนามบิน การล้มประชุมอาเซียนพัทยา และการชุมนุมที่ราชประสงค์ การปฏิวัติ เพราะเกินขอบเขตของความพอดีในเรื่องประชาธิปไตย แต่วันนี้สังคมไม่พยายามหาทางออกด้วยวิธีอื่นคิดว่านี่คือทางออกที่ถูกต้อง ของสังคม
“กมธ.ปรองดองฯ ปชป.” จี้ “นายกฯ” แสดงจุดยืนในฐานะผู้นำรบ.
จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
โดย : พิมพ์นารา ประดับวิทย์
“กมธ.ปรองดองฯ ปชป.” จี้ “ปู” แสดงจุดยืนในฐานะผู้นำรบ.ให้มีส่วนร่วมสร้างความปรองดอง อย่าโยนให้เป็นเรื่องของสภาฯ
ที่พรรคประชาธิปัตย์ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ในสัดส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลงข่าวแสดงจุดยืนของกมธ.วิสามัญฯ ในสัดส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ต่อร่างรายงานผลสรุปของกมธ.ปรองดองฯ โดยนายกนก วงษ์ตระหง่าน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะกมธ.ปรองดองฯ ว่า
กมธ.ของพรรคประชาธิปัตย์ต้องการที่จะเรียกร้องให้พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานกมธ.ปรองดองฯ เชิญประชุมกมธ.เพื่อทบทวนร่างรายงานสรุปของกมธ.ที่จะนำเสนอต่อสภาฯ นอกจากนี้ ในรายงานของคณะผู้วิจัยสถาบันพระปกเกล้าได้เสนอให้มีการจัดเวทีเสวนาประชาชน เพื่อสร้างบรรยากาศในการปรองดองเป็นอันดับแรก เพราะหากรีบสรุปจะทำให้เกิดความขัดแย้งใหม่ขึ้นมา ทั้งนี้ ในร่างรายงานของกมธ.ปรองดองก็ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากกมธ.อีกหลายคน เพราะมีการท้วงติงในที่ประชุมเมื่อวันที่ 20 มี.ค.ที่ผ่านมา เช่น ข้อผิดพลาดเรื่องข้อเท็จจริงในรายงาน การอ้างถึงคำพิพากษาศาลฎีกา รวมถึงกรณีข้อเสนอที่มีการยกเลิกผลการกระทำของคตส.
นายกนก กล่าวต่อไปว่า ส่วนการที่นายวัฒนา เมืองสุข รองประธานกมธ. และนายชวลิต วิชยสุทธิ์ เลขาฯ กมธ. ก็ได้ทราบข้อมูลตรงนี้แล้ว แต่ก็ยังยืนยันว่าจะไม่มีการประชุมกมธ.อีก ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เพราะโดยธรรมเนียมปฏิบัติของกมธ.ทุกคณะ หากมีความเห็นที่แตกต่าง กมธ.ก็จะต้องมีการเชิญประชุมเพื่อปรึกษาหารือว่าข้อสรุปที่จะยอมรับร่วมกันเป็นอย่างไร ดังนั้น ตนอยากให้พล.อ.สนธิได้แสดงภาวะผู้นำที่จะเชิญประชุมกมธ.ตามข้อเรียกร้องดังกล่าว เพราะถ้าไม่อย่างนั้นสิ่งที่ประชาชนทั่วไปมีข้อสงสัยว่ากมธ.นี้อยู่ภายใต้การชี้นำของรองประธานกมธ. และเลขาฯ กมธ.ก็อาจจะเกิดความเข้าใจผิดได้
นายกนก กล่าวว่า กมธ.ปรองดองของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้มีเจตนาที่จะขัดขวางการปรองดอง แต่เราพยายามทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มความสามารถ โดยหวังว่าจะทำให้เกิดความปรองดองอย่างแท้จริง เพราะการปรองดองเป็นเรื่องความถูกต้องไม่ใช่เรื่องของความถูกใจ เป็นเรื่องของความยุติธรรม ไม่ใช่เรื่องของเสียงข้างมาก ใช้เทคนิควิธีการต่างๆ เพื่อรวบรัดนำไปสู่ข้อสรุปหรือเป้าหมายที่ตัวเองต้องการ เรามองเห็นว่าการปรองดองนั้น ต้องทำด้วยความรับผิดชอบต่อประเทศโดยรวม นอกจากนี้ การปรองดองไม่ใช่เรื่องที่เราต้องรับผิดชอบต่อพรรคต้นสังกัดหรือผู้มีอำนาจทางการเมือง เพราะประเทศชาติต้องมาก่อน
“เราไม่อยากเห็นการปรองดอง โดยเฉพาะบทบาทของกมธ.ปรองดองฯ แทนที่เราจะส่งมอบความปรองดองให้สภาฯ นำไปสู่การปฏิบัติ แต่เรากลับเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งใหม่ และส่งมอบความขัดแย้งที่พร้อมขยายตัวความรุนแรงไปให้สภาฯ ซึ่งเราไม่อยากให้เกิดขึ้น เราจึงพยายามให้กมธ.ปรองดองฯ ได้ประชุมทบทวน ไม่มีเหตุผลที่ต้องรีบให้จบในวันที่ 18 เม.ย. หากกมธ.ต้องทำงาน 3 เดือน หรือ 6 เดือน-1 ปี แล้วความสงบสุขกลับมาจริงๆ มันจะไม่คุ้มกว่าหรือ แต่หากรวบรัดให้จบโดยเร็วแล้วมีความเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งรุนแรงใหม่ สุดท้ายประเทศติดหล่มและร้าวลึกต่อไปแบบนี้ ความเสี่ยงกับโอกาสนี้ที่จะใช้เวลามากขึ้น ท่านจะเลือกอะไร” นายกนก กล่าว
ด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะกมธ.ปรองดองฯ กล่าวว่า กมธ.ของพรรคไม่เห็นด้วยกับร่างรายงานของกมธ.ปรองดองฯ ที่จะส่งให้สภาฯ พิจารณา เพราะร่างดังกล่าวเป็นร่างที่รวบรัด ตัดตอน เพราะหลังจากที่กมธ.ของพรรคประชาธิปัตย์ได้ยื่นหนังสือต่อพล.อ.สนธิให้เรียกประชุมกมธ.ปรองดองฯ ไปเมื่อวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา ตนได้รับข้อความสั้นทางโทรศัพท์เคลื่อนที่วานนี้ (23 มี.ค.) ว่า “กมธ.ปรองดองฯ จะงดการประชุมกมธ.ในวันที่ 27 มี.ค. (เนื่องจากการพิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว)” ตนอยากถามพล.อ.สนธิบอกว่าการพิจารณาเสร็จสิ้นแล้วได้อย่างไร ในเมื่อนายชวลิตบอกว่าจะมีการตัดรายละเอียดเรื่องการลงมติเสียงข้างมากออก
“เลขาฯ กมธ.ปรองดองฯ บอกเองว่าจะตัดเรื่องการลงมติเสียงข้างมากออก ถ้าอย่างนั้นการประชุมจะเสร็จได้อย่างไร หรือจะไปงุบงิบตัดกันเอง แล้วไปทำรายงานใหม่ขึ้นมา ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจะไปตัดหรือเพิ่มอะไรโดยที่กมธ.ของพรรคประชาธิปัตย์ไม่รู้เห็น ดังนั้น อยากจะเรียกร้องว่าตอนนี้ยังมีเวลา เพราะพล.อ.สนธิไปขอกับสภาฯ ให้ขยายเวลาการประชุมของกมธ.ปรองดองไปอีก 30 วัน ถ้าอย่างนั้นจะไปขอเพิ่มทำไม หรือไปขอเพื่อหลอกสภาฯ ว่าการประชุมจะดำเนินต่อไปเท่านั้น” นายองอาจ กล่าว
นายองอาจ กล่าวต่อไปว่า ในรายงานวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าระบุว่า ภายใต้สภาวะความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบันที่ต่างฝ่ายต่างยังคงยึดมั่นอยู่ในจุดยืนและความต้องการของตนเองจนไม่สามารถแสวงหาทางออกร่วมกันได้นั้น สิ่งที่ต้องดำเนินการในโอกาสแรกคือ การสร้างบรรยากาศแห่งความปรองดอง เปิดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยเริ่มจากกมธ.ก่อนนั้น จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการเปิดเวทีดังกล่าว นอกจากนี้ การที่คณะผู้วิจัยของสถาบันพระปกเกล้าจะไม่เห็นด้วยกับการใช้มติเสียงข้างมากก็ถือว่าถูกต้องแล้ว เพราะไม่ใช่แนวทางในการสร้างความปรองดอง นอกจากนี้ ในรายงานของสถาบันพระปกเกล้าที่เสนอว่ารัฐบาลควรดำเนินการอะไรบ้างนั้น ยกตัวอย่าง เสนอให้รัฐบาลได้แสดงเจตจำนงค์โดยชัดเจนและมีรูปธรรมที่จะสร้างความปรองดองในชาติโดยเร็ว
“ผมอยากให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แสดงเจตจำนงค์ในเรื่องความปรองดองโดยเร็ว เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยแสดงเจตจำนงค์อย่างชัดเจน เมื่อเวลานักข่าวไปถามก็จะบอกว่าการปรองดองเป็นเรื่องของสภาฯ ซึ่งก็แสดงว่ารัฐบาลไม่ประสงค์จะมาเกี่ยวข้องกับความปรองดองอย่างนั้นใช่หรือไม่ เพราะการปรองดองไม่ใช่เรื่องของสภาฯ แต่เป็นเรื่องของทุกภาคส่วนของสังคม และรัฐบาลถือเป็นกลไกสำคัญในการต้องมีส่วนร่วมที่จะสร้างความปรองดอง ซึ่งในรายงานผลวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าก็พูดไว้ชัดเจน” นายองอาจ กล่าว
นายองอาจ กล่าวอีกว่า ส่วนการที่นายวัฒนายืนยันว่าต้องนำผลสรุปของกมธ.ปรองดองฯ ยื่นต่อสภาฯ พร้อมกับระบุถึงเรื่องการยกเลิกผลของคตส.ว่า เรื่องไหนที่ผิดก็ให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมนั้น ตนเห็นว่าคตส.คือส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรม เพราะเป็นฝ่ายที่รวบรวมข้อมูลต่างๆ ส่งให้ศาลพิจารณาคดีความ ดังนั้น การที่บอกว่าให้ยกเลิกผลของคตส.นั้น อยากรู้ว่ายกเลิกผลของคตส.ส่วนไหน หรือให้ยกเลิกทั้งหมด ส่วนเรื่องของนิรโทษกรรมนั้น กมธ.ปรองดองฯ ของพรรคประชาธิปัตย์ เห็นว่าเรื่องการนิรโทษกรรมไม่มีใครมีความเห็นในเรื่องนี้เลย แต่ทำไมร่างรายงานของกมธ.ปรองดองฯ จึงมีแต่เฉพาะความเห็นที่ต้องการนิรโทษกรรมเท่านั้น เพราะหากมีการเสนอให้นิรโทษกรรมโดยไม่เห็นพ้องต้องกัน การนิรโทษกรรมก็จะกลายเป็นปัญหาเพิ่มขึ้นมา ดังนั้น อยากรียกร้องว่านอกจากไม่ควรใช้เสียงข้างมากแล้ว ทางกมธ.ปรองดองฯ ควรใช้กระบวนการเห็นพ้องต้องกันในการดำเนินการให้การปรองดองประสบความสำเร็จ
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากสิ่งที่กมธ.ในสัดส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้รับการตอบสนองจะดำเนินการอย่างไร จะถึงขั้นว่ากมธ.ในสัดส่วนของพรรคจะลาออกจากกมธ.ปรองดองฯ หรือไม่ นายองอาจ กล่าวว่า เรายังไม่ได้มีการพูดคุยกันถึงขั้นนั้น ซึ่งในวันที่ 26 มี.ค. จะมีการประชุมส.ส.ของพรรค ทางกมธ.ในสัดส่วนของพรรคก็ใช้โอกาสนี้ประชุมหารือเพื่อกำหนดท่าทีของเราต่อไป อย่างไรก็ตาม ตนยังเชื่อว่า เมื่อได้มีการนำเสนอไปชัดเจนอย่างนี้แล้ว ทางพล.อ.สนธิที่ได้แสดงเจตนาอยากเห็นการปรองดองขึ้น หากรับฟังด้วยใจเป็นธรรม ไม่มีโจทย์อะไรในใจ คิดว่าการเรียกประชุมเรื่องหาความเห็นพ้องต้องกัน ไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้ เวลาก็มี ควรเรียกประชุมเพื่อทบทวนร่างรายงานของกมธ.ปรองดองฯ เพราะหากเสนอเข้าสู่สภาฯ ก็จะเป็นปัญหา และจะก่อปัญหามากขึ้น หากได้เข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ แล้ว
เปิดประเด็นปรองดองพระปกเกล้าที่กมธ.เสียงข้างน้อยไม่รับ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
เปิดรายละเอียดข้อสังเกตเกี่ยวกับข้อเสนอปรองดองของพระปกเกล้าที่เสนอต่อกรรมาธิการปรองดอง แต่กมธ.เสียงข้างน้อยไม่รับ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในรายงานวิจัยการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ที่สถาบันพระปกเกล้าเสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีพล.อ. สนธิ บุญรัตนกลิน เป็นประธาน เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ที่ผ่านมานั้น
ในบทที่ 6 ข้อ 2 ว่าด้วยข้อเสนอกระบวนการสร้างความปรองดองในชาติ ที่เสนอให้มีการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมคดีที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองทั้งหมดทุกประเภท ทั้งคดีการกระทำความผิดตาม พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และคดีอาญาที่มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง เช่นการทำลายทรัพย์สินของรัฐหรือเอกชน ในรายงานฉบับดังกล่าว ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ผู้รับผลกระทบโดยตรง อาจยังไม่พอใจและต้องการให้มีการลงโทษผู้กระทำผิด รวมทั้งการขอโทษจากคู่กรณี เพราะการนิรโทษกรรมจะเป็นการ "ลบ"ทางที่ผู้ได้รับผลกระทบจะเรียกร้องให้ผู้กระทำผิดรับผิดชอบการกระทำของตนเอง ในด้านหนึ่งการนิรโทษกรรมเช่นนี้เป็นการปลดข้อจำกัดที่สังคมจะเดินต่อไปข้างหน้าโดยไม่ต้องพะวงกับความผิดของผู้เกี่ยวข้อง แต่ในด้านหนึ่งก็เป็นการ"ทิ้ง"ผู้ที่ได้รับความเสียหายหรือผู้ถูกกระทำในบางกรณี เพราะเขาเหล่านั้นจะไม่อาจเรียกร้องการเอาโทษต่อผู้กระทำความผิดได้อีกแล้ว
อีกทั้ง การนิรโทษกรรมโดยเนื้อแท้ คือการ "ไม่ต้องรับผิด ในสิ่งที่ผิด " หากเลือกใช้กระบวนการนี้ จะไม่ทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้จากความผิดพลาด และอาจก่อให้เกิดความ"เคยชิน" ต่อการไม่ต้องรับโทษ ดังนั้นหากไม่มีการบันทึกประวัติศาสตร์และทำความจริงให้ปรากฏ ก็อาจเกิดเหตุการณ์ทำนองเดียวกันขึ้นได้อีกเรื่อยๆในหลายประเทศ จึงต้องมีกระบวนการค้นหาความจริงควบคู่ไปด้วยเช่น เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร รวันดา
ส่วนกรณีการให้เพิกถอนผลทางกฎหมายที่ดำเนินการโดยคตส.ทั้งหมด และไม่นำคดีที่อยู่ระหว่างกระบวนการและที่ตัดสินไปแล้วมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง ในรายงานฉบับดังกล่าวตั้งข้อสังเกตว่า 1. ข้อกล่าวหาการใช้อำนาจรัฐโดยมิชอบ ไม่ได้รับการพิสูจน์โดยกระบวนการยุติธรรม 2. ความไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของบางฝ่ายยังดำรงอยู่ 3. การสร้างความปรองดองเป็นไปได้ยาก เพราะบางกลุ่มเห็นว่า ผู้กระทำผิดยังลอยนวล ไม่มีการพิสูจน์ข้อกล่าวหาว่ากระทำผิดหรือไม่
สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน