พลิกวาทะสับสน ปรองดองอลหม่าน
จาก โพสต์ทูเดย์
โดย...ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์
การผลักดันร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติเข้าสภานำไปสู่ความโกลาหลทั้งในสภาและนอกสภา
พิจารณาจากชื่อของร่างกฎหมายฉบับ นี้ถูกตั้งขึ้นไว้สวยหรู บ่งบอกถึงความต้องการให้ทุกฝ่ายเกิดความสามัคคีปรองดอง แต่ทันทีที่มีสัญญาณเข้าสู่สภาก็เป็นการจุดชนวนความรุนแรง ไม่ได้สร้างความปรองดองสมกับชื่อร่างกฎหมายแต่อย่างใด
ตั้งแต่การตั้งชื่อร่างกฎหมายทำให้สับสนแล้ว เมื่อลงไปถึงเนื้อหาก็มีการโจมตีว่าต้องการช่วยปลดปล่อยคดีและคืนทรัพย์สิน ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อลหม่านหนักเข้าไปอีกจะปรองดองได้อย่างไร
วันที่ 31 พ.ค. 2555 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อ ยังไม่ได้เห็นเนื้อหาร่างกฎหมาย ทิ้งช่วงเวลาไม่กี่วัน รายการ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน” เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. ยิ่งลักษณ์ ยืนยันอีกครั้งว่ายังไม่เห็นร่างกฎหมายทั้ง 4 ฉบับ และเรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวกับการเอาเงินคืนให้ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างแน่นอน
ทำให้เกิดคำถามเมื่อไม่เห็น ไม่อ่านร่างกฎหมาย แต่กลับรู้ได้อย่างไรว่าร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่เกี่ยวกับการเอาเงินคืนให้ พ.ต.ท.ทักษิณ
นายกฯ สร้างความมหัศจรรย์พันลึกชนิดที่ไม่มีใครทำได้ ด้วยการไม่อ่านกฎหมายแต่รู้เนื้อหาในร่างกฎหมาย!
ขณะเดียวกัน แม้นายกฯ อ้างไม่เห็นร่างกฎหมายดังกล่าว แต่ชนวนที่ทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มาจากร่างกฎหมายฉบับนี้ กลับทำให้นายกฯ ตอบพิธีกรในรายการถึงแนวทางสร้างความปรองดองได้อย่างฉะฉานยิ่งสร้างความแปลก ใจเข้าไปอีก
ความสับสนดำเนินต่อไป เมื่อจู่ๆ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช. ) ตั้งโต๊ะแถลงข่าว โดย จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. แถลงเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ระบุว่า เหตุป่วนสภาในการพิจารณาร่างปรองดอง สส.พรรคประชาธิปัตย์ อาจรับรู้ถึงสัญญาณปฏิวัติรัฐประหาร
“ทางการข่าวพบว่า มีการเตรียมบ้านวีไอพีในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ไว้สำหรับคุมตัวนายกฯ เหมือนกับที่เคยทำในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกฯ แม้หัวหน้าคณะปฏิวัติอาจไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. แต่ก็เป็นพวกเดียวกัน”
แต่ปรากฏว่าบุตรชายหัวแก้วหัวแหวน พ.ต.ท.ทักษิณ พานทองแท้ ชินวัตร โพสต์ข้อความเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. พร้อมระบุว่า “มันไม่มีทีท่าว่าจะมีการปฏิวัติเกิดขึ้น ก็พยายามจินตนาการอยากให้มันเกิดขึ้นจริงให้ได้ ทำไปโดยที่ไม่สนใจว่าการปฏิวัตินั้นจะทำให้ประเทศชาติต้องถอยหลังไปอีกกี่ สิบปี
นี่ขนาดปฏิวัติครั้งล่าสุดเพิ่งผ่านไปได้ยังไม่ครบ 6 ปี (แถมหัวหน้าคณะปฏิวัติก็ยืนยันแล้วว่าการปฏิวัติไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง และยังได้เสนอกฎหมายเพื่อแก้ไขผลพวงจากการปฏิวัตินั้นแล้วด้วย) แต่ก็ยังมีการปล่อยข่าวกันอีก โดยล่าสุดเกิดอุปทานขึ้นมาเองว่า ผมและครอบครัวทราบข่าวว่าจะมีการปฏิวัติเลยหนีไปอยู่ต่างประเทศกันแล้ว”
เช่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. ในช่วงรายการความจริงวันนี้ตอนหนึ่งว่า พรรคเพื่อไทยกำลังตั้งใจทำงานสร้างความเชื่อมั่นในต่างประเทศ เศรษฐกิจเริ่มฟื้น ก็ไปปล่อยข่าวปฏิวัติ วันนี้ยังไว้ใจอะไรไม่ได้ เพราะกติกาไม่เป็นกติกา
อย่างไรก็ดี กลัวว่าประเทศไทย ประชาธิปไตยจะถอยหลัง ปฏิวัติจะเดินหน้าหรือไม่ ประชาธิปไตยเท่านั้นที่รักษากติกา คนรักษากติกาที่รักคุณธรรมเท่านั้น เราจะไม่ยอมถอยจะต่อสู้ต่อ รับรองว่าเที่ยวนี้ความสามัคคีพวกเราจะเป็นปึกแผ่น และคิดว่าเมื่อได้กลับบ้านแล้วจะตอบแทนพี่น้องอย่างไร
จับทางตามกระแสข่าวปฏิวัติพบว่า ไม่มีใครปูดเป็นคนแรกนอกจากจตุพร และตามด้วยโอ๊ค พานทองแท้ ตอบโต้คนปูดข่าวปฏิวัติ แถมอดีตนายกฯ ทักษิณ ก็ต่อว่าคนออกข่าวปฏิวัติ
ก็ยิ่งสร้างความสับสน ตกลงคนในกลุ่มเดียวกันกำลังต่อว่าไปถึงใคร ทั้งที่ตลอดระยะเวลาไม่มีใครปูดข่าวปฏิวัตินอกจากแกนนำเสื้อแดงชื่อ “จตุพร” เท่านั้น
แม้แต่การโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่สี่แยกราชประสงค์ ซึ่งมีเนื้อหาคล้ายกับเป็นการทอดทิ้งคนเสื้อแดง แต่การโฟนอินเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. ก็กลับมายืนยัน “ไม่เคยคิดจะย่ำยีหัวใจคนเสื้อแดง โดยอ้างไปถึงวันที่ 19 พ.ค. วันนั้นสัญญาณไม่ค่อยดี อยู่บ้านนอกของประเทศจีน
“อยากบอกว่าผมเป็นคนรู้สำนึกคนเสื้อแดง ไม่คิดทิ้งพี่น้องคนเสื้อแดง และที่พูดถึงปรองดองเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าได้ อย่างคดีอากง เป็นสิ่งที่พวกเราช้ำพอสมควร เราต้องไม่ทะเลาะกันเอง”
ปรากฏการณ์ของผู้นำประเทศทั้งการออกมาพูดไม่รู้ไม่เห็นเป็นเรื่องสภา ทั้งแกนนำเสื้อแดงปูดข่าวปฏิวัติ แต่จู่ๆ พ.ต.ท.ทักษิณออกมาบอกอย่าไปเชื่อ-และ พ.ต.ท.ทักษิณคนเดียวกันที่ถูกวิจารณ์ทิ้งคนเสื้อแดงก็ต้องมาแก้ข่าวไม่ได้ ลืมบุญคุณคนเสื้อแดง
ทั้งหมดทั้งปวงล้วนเกิดขึ้นท่ามกลางความปรองดองอันสับสน
เพื่อไทยถอยไม่สุดซื้อเวลารอสวนกลับ
จาก โพสต์ทูเดย์
โดย...ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย
ถอยไม่เป็นท่าสำหรับพรรคเพื่อไทย หลังจากเสนอร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ เข้าสภาผู้แทนราษฎร ท่ามกลางข้อครหาเอื้อประโยชน์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดียึดทรัพย์
เดิมทีพรรคเพื่อไทยคาดการณ์ไม่น่าจะมีปัญหา ด้วยเหตุผลบางประการ ไม่ว่าจะเป็นการคุมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ถึงจะออกแรงปาดเหงื่อบ้างแต่ก็คงผ่านรัฐสภาได้ แล้วค่อยไปลุ้นเอาในขั้นตอนของศาลรัฐธรรมนูญ หรือกระแสต่อต้านจากภายนอกสภาคงมีไม่มากนัก
กอปรกับผลการสำรวจของโพลหลายสำนักเห็นด้วยกับการสร้างความปรองดอง เช่นเดียวกับกลุ่มมวลชนไม่มีพลังมากพอจะล้มรัฐบาลได้ หลังจากรัฐบาลสามารถผลักดันร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญได้มาถึงวาระ 3 เหลือแต่ลงมติให้ความเห็นชอบอีกอึดใจเดียวเท่านั้น
แต่จินตนาการกับความจริงสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง
วันที่ 30 พ.ค.-1 มิ.ย. กลายเป็น 3 วันอันตรายล่อแหลมเจียนอยู่เจียนไปของรัฐบาลทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แรงกดดันจากในและนอกสภามีพลานุภาพสร้างความสะเทือนให้รัฐบาลพร้อมๆ กันอย่างไม่น่าเชื่อ
แม้ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภา จะฝ่าด่านพรรคประชาธิปัตย์จนเลื่อนระเบียบวาระขึ้นมาได้จากลำดับท้ายสุดมา อยู่ที่ลำดับแรก แต่ครั้นจะเริ่มนับหนึ่งกลับทำไม่ได้ เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจกามิกาเซ่ตัวเอง ยอมเอาภาพลักษณ์แลกกับการล้มกฎหมายปรองดอง พร้อมกับประกาศร่วมเคลื่อนไหวนอกสภาคัดค้านให้ถึงที่สุด
สร้างอุณหภูมิในสภาให้เดือดเพื่อกระตุ้นองศาร้อนนอกสภาให้ร้อนไม่แพ้กัน
การผลิตซ้ำแรงกดดันในสภายิ่งมากขึ้นเท่าไหร่ พลังขับเคลื่อนนอกสภาก็เพิ่มเป็นเงาตามตัวเท่านั้น จำนวนคนหลั่งไหลเข้ามาร่วมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและกลุ่ม เสื้อหลากสีมากขึ้น กระเทือนถึงการประชุมสภาเพื่อรับหลักการวาระ 1 เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ทั้งที่เดิมได้กำหนดเอาไว้วันที่ 6-7 มิ.ย. เพื่อลองของเปิดประชุมอีกครั้ง
มองเกม ณ จุดนี้แล้ว พรรคเพื่อไทยเสียเหลี่ยมไปมาก เสียงข้างมากที่มีอยู่ในมือทำอะไรไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอัน ทั้งหมดมาจากการประเมินสถานการณ์ต่ำไป ไม่คิดว่ามวลชนเสื้อเหลืองจะสร้างแรงกดดันได้ เงื่อนไขการชุมนุมเริ่มบานปลายไปถึงการขับไล่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี
พอไฟเริ่มลามทุ่งจากรัฐสภาไปถึงรัฐบาล เหตุการณ์เฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นผิดแผนไปจากแนวทางยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย ที่วางเอาไว้ คือ พยายามจะทำทุกทางเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้รัฐบาลออกจากปัญหานี้เพื่อค้ำยัน เก้าอี้นายกฯ จึงต้องป้อนโปรแกรมให้นายกฯ ปูผลิตซ้ำคำพูดต่อสาธารณชน “กฎหมายปรองดองเป็นเรื่องของสภา”
แต่แนวกันไฟเริ่มเอาไม่อยู่ เป็นปัจจัยให้ยิ่งลักษณ์ต้องลงมาเล่นเกมนี้ด้วยตัวเองอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากวางตัวเสมือนหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย สถานะของนายกฯ จะมีปัญหาหนักมากขึ้นในสายตาของสังคมแน่นอน จำใจต้องปริปากพูดเรื่องปรองดองและการเมืองมากขึ้นแม้ไม่อยากเข้าไปยุ่งก็ ตาม
ขณะเดียวกันการใส่เกียร์ถอยงดประชุมสภาของพรรคเพื่อไทย ไม่ต่างอะไรกับการดับสวิตช์ม็อบไม่เปิดติดในสัปดาห์หน้า ตัดตอนกระแสความสนใจของสังคมไม่ให้ไปจับจ้องกับการเมืองนอกสภา สร้างภาพลักษณ์ให้เห็นถึงความจริงใจของรัฐบาลที่ไม่ได้มีเจตนาเร่งผลักดัน การนิรโทษกรรมตามข้อกล่าวหา
แล้วก็ได้ผลเมื่อมวลชนเสื้อเหลืองและเสื้อหลากสีประกาศยุติการชุมนุมชั่ว คราวจากเดิมกำหนดรวมตัวในวันที่ 5 มิ.ย. ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ หน้าทำเนียบรัฐบาล
ใช่ว่าการถอยของพรรคเพื่อไทยจะถอยแบบสุดกำแพง ตรงกันข้ามกลับแฝงนัยสำคัญเอาไว้ สะท้อนได้จากท่าทีของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่าน วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งยืนยันว่า ครม.จะยังไม่ตรา พ.ร.ฎ.ปิดสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ
“ครม.ต้องการให้สภาพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินก่อน เนื่องจากตอนนี้รัฐบาลถูกกดดันอย่างหนักจากองค์กรระหว่างประเทศ อย่างน้อยที่สุดอยากให้ผ่านวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการเพื่อให้รัฐบาลสามารถมีประเด็นไปชี้แจงนานาชาติได้”
หมายความว่า ตราบใด พ.ร.ฎ.ปิดสมัยประชุมยังไม่ออกมาเร่งดำเนินการให้มีผลบังคับใช้นานเท่าไหร่ ความเป็นไปได้ของการเร่งพิจารณากฎหมายปรองดองย่อมเป็นไปได้มากขึ้นเท่านั้น โดยสมัยประชุมนิติบัญญัติซึ่งควรจะหมดเวลาไปตั้งนานแล้ว กลับได้ทดเวลาบาดเจ็บมากขึ้นไปเรื่อยๆ
จุดเล็กๆ นี้เป็นคำตอบว่า พรรคเพื่อไทยยังมีความพยายามอยากผลักดันร่าง พ.ร.บ.ปรองดองอยู่ เพียงแต่เวลานี้ขอซื้อเวลาดูสถานการณ์ไปเรื่อยๆ ก่อนว่าดีกรีของม็อบเสื้อเหลืองและแนวต้านต่างๆ จะอยู่ในระดับใด ถ้าได้จังหวะเวลาที่เหมาะสมเมื่อไหร่ก็พร้อมเดินหน้าทันที
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เวลานี้ในด้านหนึ่งไม่สามารถประมาทแรงต้านได้เช่นกัน หลังจากได้แสดงผลงานมาแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สร้างความระส่ำระสายให้กับรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยพอสมควร ขืนดึงดันและสุ่มสี่สุ่มห้าดันทุรังเสนอกฎหมายปรองดองเข้าไปอีก
เกิดอะไรผิดพลาดขึ้นเวลานั้น อาจยากต่อการควบคุมบรรยากาศทางการเมืองและการรักษาเก้าอี้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ เอาไว้ก็จะลำบากไม่แพ้กัน
ดังนั้น ทีมยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยต้องคำนวณสถานการณ์กันแบบวันต่อวัน ถือไพ่ในมือใบเดียวไม่ได้ ต้องถือหลายใบ เพื่อเลือกเล่นไพ่ให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ ว่าเวลาไหนควรเล่นอย่างไรให้ตัวเองได้เปรียบมากที่สุด และไม่พลาดท่าให้กับฝ่ายตรงข้ามเหมือนที่ผ่านมา
จึงอย่าได้แปลกใจว่าทำไมพรรคเพื่อไทยถึงไม่เสนอปิดสมัยประชุมทันที ภายหลังเลื่อนการประชุมออกไป ถึงว่าวาระสำคัญทางการเมืองของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และร่างกฎหมายปรองดองถูกแช่แข็งอยู่ในปัจจุบัน
ในที่สุดพรรคเพื่อไทยเหลือทางเลือกไม่มากนัก ระหว่างเดินหน้าท่องคาถา “Let it Be” อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ประลองกำลังประชุมสภาอีกครั้ง หรือถอยด้วยการปิดสมัยประชุมเพื่อดับไฟพักยกกันชั่วคราว รอเวลาไปรบกันในสมัยประชุมสามัญทั่วไปเดือน ส.ค.
แต่ไม่ว่าจะเลือกทางไหนพรรคเพื่อไทยก็ต้องยอมรับกับผลที่ตามมาอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน