จากประชาชาติธุรกิจ
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร AREA (ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส) ระบุว่า ประเทศไทยมีดำริให้มีภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมานานแล้ว แต่ไม่สำเร็จจนถึงทุกวันนี้ วันนี้มีโอกาสถอดบทเรียนจากสหรัฐอเมริกามานำเสนอ โดยล่าสุดเพิ่งจะเป็นแขกรับเชิญของวุฒิสมาชิก Mrs. Jackie Winters แห่งมลรัฐโอรีกอน สหรัฐอเมริกา เยี่ยมชมกิจการด้านภาษีทรัพย์สินในมลรัฐออรีกอน
รายได้ของมลรัฐโอริกอนเป็นเงินปีละประมาณ 878,912 ล้านบาท หรือราวหนึ่งในสามของงบประมาณแผ่นดินไทย (เฉลี่ยคนละ 227,000 บาทต่อปี) ทั้งนี้รายได้มาจาก 4 แหล่งคือ ภาษี เงินอุดหนุนจากรัฐบาลกลาง ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ และอื่น ๆ โดยมีสัดส่วนเป็น 45% 24% 19% และ 12% ตามลำดับ ข้อแตกต่างระหว่างมลรัฐนี้กับทั่วสหรัฐอเมริกาก็คือ ภาษีของรัฐนี้เก็บได้เพียง 45% แต่ทั่วประเทศเฉลี่ยที่ 53% ส่วนเงินอุดหนุนจากรัฐบาลกลางก็ได้พอ ๆ กับรัฐอื่น
อย่างไรก็ตามมลรัฐนี้เก็บค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ มากกว่า โดยรายได้ของมลรัฐออรีกอนอีกอย่างหนึ่งก็คือค่าธรรมเนียมจากการออกสลากกินแบ่ง ซึ่งมีอยู่มากมายในมลรัฐนี้ และยังมีคาสิโน 9 แห่ง โดยรัฐบาลเก็บภาษีจากการนี้ประมาณ 7% ของรายได้เงินจำนวน 227,000 บาทต่อปีที่เก็บได้จากประชากรแห่งมลรัฐออรีกอนทั้งหมดนั้น คิดเป็นประมาณ 8.8% ของรายได้ต่อหัว ทั้งนี้ภาษีจากเงินได้บุคคลธรรมดาเก็บได้สูงสุดคือ 3.7% ของรายได้ประชากรต่อหัว รองลงมาก็คือภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 3.2% ของรายได้ นอกนั้นเป็นภาษีอื่น ๆ
เฉพาะในส่วนของภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น ในกรณีที่เกษตรกรรม (Farmland) ได้รับการยกเว้นเป็นมูลค่าสูงถึง 400,000 ล้านบาท ส่วนป่าเอกชน ได้รับการยกเว้นเป็นเงินถึง 127,000 ล้านบาท ทั้งนี้เพราะรัฐบาลส่งเสริมการเกษตรและป่าไม้
สำหรับกรณีภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับอสังหาริมทรัพย์ทั่วไปเช่นที่อยู่อาศัยนั้น เก็บประมาณ 1.5% ของราคาประเมินทางราชการ แต่ราคาประเมินทางราชการต่ำกว่าราคาตลาด จึงประมาณได้ว่าเก็บภาษีประมาณ 1% ของราคาตลาด นับแต่ปี 2540 ราคาประเมินของทางราชการจะเพิ่มขึ้นปีละ 2% ของราคาตลาด ณ ปี 2539 เพราะช่วงเวลาดังกล่าวราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นสูงมาก
ในแต่ละ County หรือจังหวัดในมลรัฐโอรีกอน มีตำแหน่งผู้ประเมินค่าทรัพย์สินที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ของรัฐประมาณ 20 คนทำงานในสำนักงานผู้ประเมินค่าทรัพย์สินดังกล่าว เป็นผู้ดำเนินการ ผู้ที่ไม่สามารถจ่ายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างภายในกำหนด จะต้องเสียค่าปรับ และหากไม่จ่ายเกินกว่า 3 ปี บ้านก็จะต้องถูกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาเสียภาษี
สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน