ภาษีเหล้า-บุหรี่ 1.25 หมื่นล้านบนน้ำตาของคนจน
โดย : เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว
จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ในที่สุดรัฐบาลก็ได้เงินมาอีก 1.25 หมื่นล้านบาทจากการเก็บภาษีเหล้า-บุหรี่ แถมยังพ่วงด้วยการโยนหินถามทางเกี่ยวกับการเก็บภาษีเกมออนไลน์
อาวุธปืน รวมไปถึงภาษีลดโลกร้อนอย่างภาษีเครื่องปรับอากาศอีกด้วย ดูเหมือนว่ารายชื่อของ “ภาษีบาป” กำลังยาวขึ้นเรื่อยๆ และยังไม่รู้ว่า ต่อไปจะมีสินค้าอะไรที่โดนหางเลขอีก
ผลดีของภาษีบาปงวดนี้มีสองข้อ ข้อแรก รัฐมีรายได้เพื่อนำไปใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ข้อสอง เมื่อเหล้า-สุรา ราคาแพงขึ้น อาจทำให้หลายคนตัดสินใจที่จะลดหรือเลิกดื่ม-สูบ อย่างไรก็ตาม ผลดีทั้งสองข้อนี้เป็นผลดีที่ไม่ได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
รายได้ที่เพิ่มขึ้น จะนำไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนชาวไทยก็ต่อเมื่อรัฐบาลนำเงินที่ได้ไปใช้ในการพัฒนาประเทศอย่างจริงจัง เพื่อให้ประเทศมีรากฐานที่แข็งแกร่งสามารถเติบโตต่อไปได้ในระยะยาว
ด้านจำนวนนักดื่มนักสูบที่ลดลงนั้น งานวิจัยทั่วโลกให้ผลตรงกันว่า แม้ราคาของสินค้าเหล่านี้จะเพิ่มขึ้น แต่การบริโภคไม่ลดลงมากนัก เนื่องจากสินค้าทั้งสองอย่างเป็นสิ่งที่เสพแล้วจะติด ดังนั้นการมาตรการทางภาษีเพื่อเพิ่มราคาจึงไม่ใช่เครื่องมือที่ดีในการลดพฤติกรรมการดื่ม-สูบ
แม้ว่าภาษีบาปจะไม่ใช่เครื่องมือที่ดีในการลดพฤติกรรมการบริโภคสิ่งเสพติด แต่หากมองในเชิงของการจัดเก็บรายได้แล้ว ภาษีตัวนี้น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะเก็บได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย มีผู้เดือดร้อนแค่กลุ่มเดียว จึงไม่ค่อยจะถูกสังคมต่อต้านมากเหมือนกับการเพิ่มภาษีประเภทอื่น โดยเฉพาะภาษีรายได้หรือภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งจะกระทบกับทุกคน จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมรัฐบาลถึงได้ให้ไฟเขียวในเรื่องนี้
สิ่งหนึ่งที่คนในรัฐบาลไม่ทราบ หลงลืม หรือแกล้งหลงลืมไปก็คือ ภาษีบาปนั้นเขาแนะนำให้ไม่เก็บกันตอนเศรษฐกิจกำลังมีปัญหา เพราะภาษีประเภทนี้สร้างความเดือดร้อนให้กับคนจนมากกว่าคนรวย
สมมติว่าถ้ารัฐบาลเก็บภาษีเหล้า ทำให้ราคาเหล้าเพิ่มขึ้นสิบเปอร์เซ็นต์เหมือนกันทุกยี่ห้อ ชาวบ้านซึ่งเคยดื่มเหล้าขวดละร้อย ตอนนี้ต้องจ่ายเพิ่มอีกสิบบาท เศรษฐีเคยกินเหล้าขวดละพัน ต้องจ่ายเพิ่มอีกหนึ่งร้อยบาท ดูเผินๆ แล้วเหมือนกับคนทั้งสองกลุ่มต้องจ่ายเงินเพิ่มในสัดส่วนที่เท่ากัน น่าจะยุติธรรมดีอยู่
แต่การจะดูแค่เงินที่ต้องจ่ายเพิ่มคงไม่พอ เราต้องดูรายได้และค่าใช้จ่ายในภาพรวมของเขาด้วย สำหรับชาวบ้านที่หาเงินได้เดือนหนึ่งแค่เจ็ดแปดพันบาท เงินเป็นสิบเป็นร้อยมีความหมายทั้งนั้น ส่วนเศรษฐีเงินล้าน เงินแค่เป็นร้อยสองร้อยไม่กระทบกับสุขภาพทางการเงินของเขา ยังสามารถไปกินอาหารดีๆ ดูหนัง ตีกอล์ฟได้เหมือนเดิม
ข้อมูลที่นำเสนอในแผนภูมิ แสดงให้เห็นสัดส่วนของค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการซื้อเหล้า-บุหรี่ของคนกลุ่มต่างๆ แบ่งตามลักษณะอาชีพ ซึ่งจะเห็นได้ว่า คนที่เดือดร้อนที่สุด คือ คนงานเพราะมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้คิดเป็น 4% ของค่าใช้จ่ายในการอุปโภคบริโภคทั้งหมด ส่วนพนักงานบริษัท/ผู้ประกอบวิชาชีพ เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด เพราะมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เพียง 1.8%
นี่เป็นแค่ผลโดยตรงเท่านั้น ผลโดยอ้อมจากภาษีนี้คือ ทำให้ความรู้สึกของคนยิ่งแย่ลงไปใหญ่ ข่าวของแพง มีผลทางจิตใจต่อคนทุกกลุ่ม ชวนให้รู้สึกว่าบรรยากาศทางเศรษฐกิจย่ำแย่ จะทำอะไรก็ต้องกระเหม็ดกระแหม่อดออม
พอกำลังซื้อหดลง แม่ค้าพ่อค้าขายของไม่ได้ เขาจะทำอย่างไรได้ นอกจากจะต้องขึ้นราคา ทีนี้แหละ พอสินค้าหลายๆ อย่างสามัคคีกันขึ้นราคา ค่าครองชีพสูงขึ้น คนมีรายได้น้อยมีแต่ตายกับตาย
ข่าวการเลิกจ้าง ยอดคนตกงาน น่าจะเป็นสัญญาณที่ชัดเจนแล้วว่าคนไทยกำลังเดือดร้อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นโยบายที่ออกมาควรจะนึกถึงหัวอกคนรายได้น้อยกับคนตกงานบ้าง
หากคิดจะเก็บภาษีแบบนี้เพื่อหารายได้เพิ่ม ทำไมไม่เลิกนโยบายแจกเงินสร้างหนี้แทน คิดไปคิดมาชักอดสงสัยไม่ได้ว่า รัฐบาลวางแผนการแก้เศรษฐกิจไว้แบบเบ็ดเสร็จสมบูรณ์แค่ไหน แผนระยะกลางระยะยาวที่ว่าไว้ก็ไม่เห็นจะชัดเจนเสียที หรือว่าแผนพวกนี้ไม่มีอยู่จริง มีแต่แผนเก็บเงิน กู้เงิน และจ่ายเงินเท่านั้น
ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ รัฐบาลควรทำหน้าที่เป็นไฟส่องทางให้ทุกคนเห็นว่า จะต้องเดินต่อไปข้างหน้าอย่างไร แม้ตอนนี้ลำบากก็ยังพอจะมีความหวังได้ว่า ต่อไปชีวิตคงดีขึ้น หากรัฐบาลเองยังเปลี่ยนแผนไปเรื่อยๆ มีอะไรออกมาสร้างความประหลาดใจแบบนี้บ่อยๆ ความเชื่อมั่นในตัวรัฐบาลก็จะลดลง
การบริหารจัดการคลังเป็นเรื่องละเอียดอ่อนกว่าแค่การเลือกจ่ายเงินเลือกเก็บเงิน ตามหลักเศรษฐศาสตร์การคลัง ทุกอย่างที่รัฐบาลทำสามารถรักษาแผลและสร้างแผลให้กับเศรษฐกิจของประเทศได้ ดังนั้น ผู้นำประเทศและขุนคลังต้องคิดให้มากกว่าการนั่งดูตัวเลขทางบัญชี ต้องทำตัวให้เป็นมากกว่านักวางแผนทางการเงิน เพราะสิ่งที่รัฐบาลต้องรับผิดไม่ใช่แค่ 15 ล้านเสียงที่ชอบกล่าวอ้าง แต่เป็นชีวิตของคนไทยทั้ง 67 ล้านคน
ไม่ต้องกังวลหรอกว่าใครจะโฟนอิน ไม่ต้องห่วงหรอกว่าเสื้อสีโน้นสีนี้พูดอะไร ฝ่ายค้านจะเล่นเกมไหน ขอให้ทุ่มเทกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างจริงจัง มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน ให้คนไทยได้ลืมตาอ้าปาก อย่าเพิ่มภาระให้กับคนจน เอาผลงานเข้าสู้ ถ้ารัฐบาลเก่งจริง เดี๋ยวพวกนั้นก็แพ้ภัยตัวเอง หน้าที่ของรัฐบาลไม่ใช่การตอบโต้รายวัน แต่เป็นการดูแลบ้านเมืองและคนไทยให้ดี ทำได้ตามนี้ประชาก็นิยมแล้ว
หมายเหตุ บทความนี้ปรับปรุงมาจากบทความในคอลัมน์เดียวกันชื่อ “สุดท้ายบาปก็ตกกับคนจน” ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2552
สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน