จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
นฤมล คนึงสุขเกษม
ตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่เผยแพร่ออกมาในช่วงนี้อาจดูน่าหดหู่ โดยเฉพาะดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (พีเอ็มไอ)
ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือหลักบ่งชี้แนวโน้มเศรษฐกิจ
ดัชนีพีเอ็มไอภาคการผลิต ไต่ขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 49.8 เมื่อเดือนกันยายน จาก 49.2 เมื่อเดือนสิงหาคม แม้เป็นการปรับตัวขึ้นครั้งแรกหลังจากร่วงลง 4 เดือนซ้อน แต่ก็น้อยกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ว่าจะอยู่ที่ 50.2 แสดงว่ากิจกรรมการผลิตยังอยู่ในขั้นหดตัว
ส่วนดัชนีพีเอ็มไอนอกภาคการผลิต ปรับตัวลดลง 2.6% มาอยู่ที่ 53.7% ในเดือนเดียวกัน อันเป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า อุตสาหกรรมนอกภาคการผลิตของจีนชะลอตัวลง
นอกจากนี้ ธนาคารกลางเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ยังปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนปี 2555 โดยคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 7.7% จากเดิมที่คาดเมื่อเดือนเมษายนว่าจะมีอัตราการโต 8.5%
แต่โดยแท้จริงแล้ว การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีรัฐบาลคอยดูแลอย่างใกล้ชิด และจีนตั้งเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ไว้เพียง 7.5% เท่านั้น อันเป็นการแสดงว่ารัฐบาลปักกิ่งเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ
สถานการณ์ปัจจุบันทำให้มีความเป็นไปได้มากที่ทางการจีนจะยึดนโยบายการเงินเข้มงวดต่อไปอีกระยะ ขณะที่เศรษฐกิจในประเทศค่อยๆ ฟื้นตัว
อย่างมากที่สุด ธนาคารกลางจีนก็อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเล็กน้อย หรือลดเพดานกันสำรองเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ เพราะดูเหมือนการผ่อนคลายความเข้มงวดจะไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน
ในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินประจำไตรมาสสามเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ธนาคารกลางจีนออกแถลงการณ์ระบุว่าจะยึดนโยบายการเงินแบบรอบคอบต่อไป โดยจะยืดหยุ่นตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ
ตามความเห็นของคณะกรรมการกำหนดนโยบาย สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินของจีนแสดงสัญญาณความมั่นคง และราคาผู้บริโภคที่เป็นเครื่องวัดอัตราเงินเฟ้อก็ค่อนข้างทรงตัวดี
ธนาคารกลางจีนยืนยันว่าจะใช้เครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสม ในการกระตุ้นปริมาณสินเชื่อให้เติบโตอย่างมั่นคงและค่อยเป็นค่อยไป ในขณะที่ยังคงรักษาระดับเงินทุนทางสังคมให้สมเหตุสมผล
นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า แถลงการณ์ดังกล่าวเป็นการกำหนดทิศทางของธนาคารกลางจีน ในยามที่ต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงของตลาดระหว่างประเทศ โดยเฉพาะหลังจากธนาคารกลางสหรัฐออกโครงการคิวอี3 เมื่อเร็วๆ นี้
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่มีการคาดหมายว่าธนาคารกลางจีนจะอาศัยการปรับลดอัตราดอกเบี้ย หรือการลดเพดานกันสำรองเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ ในการผ่อนคลายความเข้มงวดทางการเงิน แต่ดูเหมือนธนาคารกลางแห่งนี้นิยมเครื่องมือทางการเงินที่มีความยุ่งยากซับซ้อนมากกว่า
ล่าสุด ธนาคารกลางจีนอัดฉีดเงิน 290,000 ล้านหยวนเข้าตลาดเงินเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผ่านการทำธุรกรรมการซื้อโดยมีสัญญาขายคืน (Reverse REPO) เพื่อผ่อนคลายความตึงตัวทางการเงินในช่วงสิ้นไตรมาส
แต่หากเศรษฐกิจจีนเกิดชะลอตัวมากเกินคาด ก็มั่นใจได้ว่าธนาคารกลางจีนยังมีมาตรการผ่อนคลายทางการเงินแบบอื่นๆ ให้งัดออกมาใช้อีก
สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน