จากประชาชาติธุรกิจ
สำหรับใครหลายคน นิยามวันศุกร์ว่าเป็น "วันศุกร์แห่งชาติ" และก็มักชักชวนเพื่อนฝูงไปแฮงเอาต์กันในร้านอาหาร ผับ บาร์ ต่างๆ กันตอนเย็นย่ำ เลยไปจนถึงดึกดื่น
หนึ่งในเครื่องดื่มที่สั่งมาดื่ม คงไม่พ้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์!!
อ่ะๆ แต่อย่าลืมว่า "เมาไม่ขับ" นะ เพราะหากเมาแล้วขับ อาจจะเจอกรณีอย่าง ดาราสาว "กิ๊ฟซ่า" วงเกิร์ลลี่ เบอร์รี่ ที่เมาแล้วขับจนเป็นเรื่องอย่างที่เห็น อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการป้องกันตนเองให้ดื่มอย่างรู้เท่าทัน การรู้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ช่วยได้ไม่น้อยที เดียว
นพ.วรพงษ์ สำราญทิวาวัลย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลธัญญารักษ์ เชียงใหม่ ให้ข้อมูลที่ถูกต้องในการจัดเวิร์กช็อปภายใต้โครงการ "DRINKiQ-รู้ทันแอลกอฮอล์" จัดโดย บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด ว่า
"หลายคนรู้สึกว่า ดื่มแอลกอฮอล์แล้วกระฉับกระเฉงตื่นตัว ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด แท้จริงแล้วแอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดประสาทและกดการทำงานของเซลล์กล้ามเนื้อ ทั้งยังส่งผลต่อ GABA ซึ่งเป็นสารสื่อประสาททำให้รู้สึกผ่อนคลาย ดังนั้น ผู้ดื่มจึงไม่ควรขับรถหลังดื่มแอลกอฮอล์เด็ดขาด เพราะอาจมีอาการง่วงซึมและร่างกายจะมีปฏิกิริยาตอบสนองช้าลง โดยที่เราอาจไม่รู้ตัว ซึ่งในที่สุดแล้วอาจนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้"
ใน ส่วนข้อสงสัยเกี่ยวกับวิธีที่ถูกต้องในการดูแลตนเองเมื่อดื่ม นพ.วรพงษ์ได้แนะนำเคล็ดลับต่างๆ ในการดูแลตนเองขณะดื่มเช่น การวางแผนการดื่มให้เหมาะกับสภาพร่างกายในวันนั้น รับประทานอาหารรองท้องเพื่อช่วยชะลอการดูดซึมของแอลกอฮอล์ ไม่ควรเติมเครื่องดื่มในแก้วเดิมหากยังดื่มไม่หมด เพราะจะทำให้ไม่ทราบว่าดื่มไปกี่แก้วแล้ว นอกจากนี้ยังควรดื่มน้ำให้เพียงพอทั้งระหว่างดื่มและหลังดื่ม เพราะนอกจากจะช่วยชะลออาการเมาแล้ว ยังช่วยขับแอลกอฮอล์ออกจากร่างกายและป้องกันอาการแฮ้งในวันรุ่งขึ้นได้อีก ด้วย
"หลายคนยังไม่เข้าใจว่า อาการแฮ้งเกิดจากอะไร ทำให้ไม่สามารถแก้อาการได้อย่างตรงจุด ที่จริงแล้วอาการแฮ้งเกิดจากการขาดน้ำ เพราะแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ จะสังเกตได้ว่าเราจะรู้สึกปวดปัสสาวะบ่อยขึ้นเมื่อดื่มแอลกอฮอล์"
"ดัง นั้น เพียงดื่มน้ำให้เพียงพอทั้งระหว่างดื่มและหลังดื่มก็จะช่วยป้องกันอาการแฮ้ง ได้โดยไม่ต้องพึ่งยาหรือสมุนไพรใดๆ และยังช่วยขับแอลกอฮอล์ออกจากร่างกายได้เร็วขึ้นด้วย"
สำหรับคนที่ เชื่อว่า การดื่มกาแฟจะสามารถช่วยแก้อาการแฮ้งได้นั้น ที่จริงแล้วกาแฟมีฤทธิ์ในการกระตุ้นประสาท ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นก็จริง แต่ขณะเดียวกันก็มีฤทธิ์ขับปัสสาวะเช่นเดียวกันกับแอลกอฮอล์ ทำให้ไม่ได้ช่วยอาการแฮ้งอย่างแท้จริง ทางที่ดีที่สุดคือ ควรดื่มน้ำให้มากเพียงพอ"
นอกจากนี้ นพ.วรพงษ์ยังอธิบายถึงความแตกต่างระหว่างหญิงและชายในการขับแอลกอฮอล์ออก จากร่างกาย ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่ผู้หญิงควรทราบก่อนดื่ม เช่น แอลกอฮอล์ละลายในน้ำ แต่ไม่ละลายในไขมัน โดยทั่วไปแล้วผู้หญิงจะมีไขมันมากกว่า และมีน้ำในร่างกายน้อยกว่าผู้ชาย จึงทำให้มีอาการเมาได้เร็วกว่า เพราะแอลกอฮอล์ยังคงความเข้มข้นแทนที่จะเจือจางไปกับน้ำในร่างกาย ทางแก้ก็คือดื่มน้ำบ่อยๆ ทั้งระหว่างดื่มและหลังดื่ม และนำปริมาณการดื่มมาตรฐานมาใช้ในการวางแผนการดื่ม
"เนื่องจาก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีหลายชนิด และมีดีกรีแอลกอฮอล์ที่แตกต่างกัน รวมทั้งมีการเสิร์ฟในภาชนะที่หลากหลาย ทำให้ยากที่จะทราบปริมาณแอลกอฮอล์ที่เข้าสู่ร่างกาย ควรวางแผนปริมาณการดื่มมาตรฐาน โดยคำนวณจาก 1 ดื่มมาตรฐานเท่ากับแอลกอฮอล์ประมาณ 10 กรัม ดังนั้นก่อนที่จะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดใดก็ตาม ควรรู้เสียก่อนว่าเครื่องดื่มชนิดนั้นมีปริมาณแอลกอฮอล์เท่าไร จะได้ทราบว่าเราจะสามารถดื่มได้กี่แก้วจึงจะเหมาะสม" นพ.วรพงษ์ทิ้งท้าย
ไม่ว่าจะรู้เท่าทันการดื่ม หรือเมาไม่ขับ ก็ดีไม่เท่า "ไม่ดื่มเลย" ที่สุด เพราะไม่เสียเงิน ไม่เสียสุขภาพ มีแต่ได้กับได้
ที่มา : นสพ.มติชนรายวัน
สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน