จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -“คำอวยพร และคำปฏิญาณ สัญญา ที่ทุกท่านได้กล่าวนั้น เป็นที่ประทับใจมาก ขอขอบใจท่านทั้งหลาย ตลอดจนประชาชนชาวไทยทุกคนที่พรั่งพร้อมกันมาด้วยความปรารถนาดี และไมตรีจิต
“ความปรารถนาดี และความพร้อมเพรียงกันของทุกท่าน อย่างที่ได้เห็นในวันนี้ ทำให้ข้าพเจ้าปลื้มใจ มีกำลังใจมากขึ้น ด้วยความเชื่อเสมอว่า ความเมตตา ปรารถนาดีของท่านต่อกันนี้ เป็นปัจจัยอย่างสำคัญที่จะทำให้ความพร้อมเพรียงจะเกิดขึ้น มีขึ้นทั้งในหมู่คณะ และในชาติบ้านเมือง
“แต่ถ้าคนไทยเรายังมีคุณธรรมอันนี้อยู่ในจิตใจ ก็จะมีความหวังได้ว่า บ้านเมืองไทย ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดๆ ก็จะอยู่รอดปลอดภัย และธำรงมั่นคงต่อไปได้ตลอดรอดฝั่งอย่างแน่นอน
“ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านและชาติไทย ให้มีแต่ความผาสุกร่มเย็น ยิ่งยืนไป”
พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่ปวงชนชาวไทยในการเสด็จออก ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต เนื่องในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา วันที่ 5 ธันวาคม 2555
นับเป็นความปลื้มปีติอย่างหาที่สุดไม่ได้สำหรับพสกนิกรชาวไทยอีก ครั้ง เมื่อมีโอกาสเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการเสด็จออก ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต เนื่องในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา วันที่ 5 ธันวาคม 2555 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ฟังพระราชดำรัสซึ่งเป็นเสมือนสายฝนที่สร้างความ ชุ่มชื้นในหัวใจจนไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
คลื่นปวงมหาประชาชนหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศพร้อมใจกันสวมใส่ “เสื้อสีเหลือง” ซึ่งเป็นสีมหามงคลประจำวันพระบรมราชสมภพ เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดินอันเป็นที่รักยิ่ง และนับเป็น “ปรากฏการณ์เหลืองทั้งแผ่นดิน” ที่โลกจะต้องจารึกเอาไว้เป็นประวัติศาสตร์ตราบชั่วลูกชั่วหลาน
ทรงพระเจริญ
ทรงพระเจริญ
ทรงพระเจริญ
เสียงปวงชนชาวไทยที่พร้อมใจกันใส่เสื้อสีเหลืองเพื่อเฝ้ารอรับเสด็จ ตั้งแต่บริเวณโรงพยาบาลศิริราชต่อเนื่องสุดลูกหูลูกตาไปตามแนวถนนราชดำเนิน กระทั่งไปบรรจบที่พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต รวมถึงปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าที่รวมตัวกันในทุกจังหวัดและทุกตารางนิ้วของ ประเทศไทย คือเสียงแห่งความจงรักภักดีที่มีต่อพระมหาราชา พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นดั่งพ่อของแผ่นดิน
เสมือนหนึ่งคือคำประกาศของผู้ที่อยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร ว่า “เราจะสู้เพื่อในหลวง” และ “เราจะขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป” เพราะไม่มีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในโลกที่จะคิดและทำเพื่อประชาชน เฉกเช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกแล้ว
เป็นปรากฏการณ์เหลืองทั้งแผ่นดินที่กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง หลังเคยสร้างปรากฏการณ์เหลืองทั้งแผ่นดินจนเสื้อสีเหลืองผลิตไม่เพียงพอกับ ความต้องการของปวงชนชาวไทยที่ปรารถนาจะใส่เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความจงรัก ภักดี
ในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกมหาสมาคมรับการถวายพระพรชัยมงคล ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต เนื่องในพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2549
ทั้งนี้ การเสด็จออกสีหบัญชรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันที่ 5 ธันวาคม 2555 นับเป็นการเสด็จออกสีหบัญชรเป็นครั้งที่ 6 ในรัชกาลปัจจุบัน
ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ.2493
ในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ประชาชนเข้าเฝ้าทูล ละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล ณ พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท พระบรมมหาราชวัง เนื่องในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ครั้งที่สอง วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ.2499
ในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสแถลงถึงพระราชดำริในการที่จะเสด็จ ออกบรรพชาอุปสมบทแก่ประชาชนที่มาเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท พระบรมมหาราชวัง เนื่องในโอกาสพระราชพิธีทรงพระผนวช ทั้งนี้พระราชพิธีทรงพระผนวชมีขึ้นในวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ.2499 ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ครั้งที่สาม วันที่ 19 มกราคม พ.ศ.2504
ในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ประชาชนเข้าเฝ้าทูล ละอองธุลีพระบาท ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต เนื่องในพระราชพิธีสมโภชในโอกาสเสด็จฯ นิวัติพระนคร หลังเสร็จสิ้นพระราชกรณียกิจในการเสด็จฯ เยือนสหรัฐอเมริกาและประเทศต่างๆ ในยุโรป รวม 14 ประเทศ เป็นเวลา 7 เดือน
ครั้งที่สี่ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2542
ในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับการถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต
ครั้งที่ห้า วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2549
ในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกมหาสมาคมรับการถวายพระพรชัยมงคล ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต เนื่องในพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี
ในครั้งนั้น กระแสเสื้อสีเหลืองมาแรงมากและแรงอย่างต่อเนื่อง เพราะปวงชนชาวไทยพร้อมใจกันใส่เสื้อสีเหลืองทุกจันทร์เพื่อแสดงออกถึงความจง รักภักดีต่อพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ในปี 2550 กระแสเสื้อสีเหลืองก็ถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เนื่องเพราะในปีดังกล่าวเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเจริญพระชนมา ยุครบ 80 พรรษา และทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย โปรดเกล้าตราสัญลักษณ์ 80 พรรษา ด้วย “แพรแถบสีชมพู”
นายสุเมธ พุฒพวง นักวิชาการช่างศิลป์ 7 ว. ช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร ผู้ออกแบบตราสัญลักษณ์ 80 พรรษา อธิบายว่า ตราสัญลักษณ์ ประกอบด้วย 1.พระราชลัญจกร รัชกาลที่ 9 ซึ่งแทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 2.พระมหาพิชัยมงกุฎ อยู่ด้านบน โดยด้านหลังเป็นพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร รวมทั้งพระเศวตฉัตร 7 ชั้นขนาบคู่ทั้งสองด้าน ที่แสดงถึงเครื่องประกอบพระบรมราชอิสริยยศของพระมหากษัตริย์
3.เลขไทย ๘๐ ประดับเพชร 80 เม็ด อันเป็นปีที่เฉลิมพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา 4.แพรแถบสีชมพู ที่บอกชื่อตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ซึ่งการที่เลือกใช้สีชมพู เพราะเป็นสีที่ตรงกับหลักโหราศาสตร์ ทักษาพยากรณ์ เป็นสีที่เป็นอายุของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงพระราชสมภพในวัน จันทร์ โดยเลือกใช้สีชมพูอ่อนเพื่อให้พื้นสีของตราพระราชลัญจกรโดดเด่น
และ 5.พระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ เป็นพระที่นั่งที่มีความสำคัญเพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับ พระที่นั่งดังกล่าวในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และเสด็จประทับให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร ถวายพระพรที่รัฐสภา ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชวินิจฉัยให้เขียนดอกพิกุลจำนวน 9 ดอก บริเวณแท่นแปดเหลี่ยมรองรับพระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ด้วย
คนไทยทั้งประเทศจึงพร้อมใจกันสวมเสื้อสีชมพูเพื่อถวายพระพรชัยมงคล ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระสุขภาพและพระพลานามัยที่แข็งแรงมา อย่างต่อเนื่อง
กระทั่งในการเสด็จออกสีหบัญชรครั้งที่ 6 ปวงชนชาวไทยจึงพร้อมใจกันใส่ “เสื้อสีเหลือง” อีกครั้ง
และการกลับมาอีกครั้งของเสื้อสีเหลืองคือสิ่งสำคัญอันยิ่งยวดเพราะ แสดงให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรงเป็นลำดับและพร้อมที่ จะกลับมาเป็นจอมทัพ พร้อมจะกลับมาเป็นหลักชัยเพื่อนำมาประชาชนและประเทศชาติให้หลุดพ้นจากความ ยากจนด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ด้วยเหตุดังกล่าวปวงชนชาวไทยจึงพร้อมใจกันใส่เสื้อสีเหลืองเพื่อแสดง ให้เห็นถึงความจงรักภักดี โดยมีการจับจองพื้นที่บริเวณลานพระราชวังดุสิตกันตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม วันที่ 4 ธันวาคมต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งแม้จะไม่มีโอกาสได้เฝ้ารับเสด็จอย่างใกล้ชิด หรือแทบไม่มีโอกาสได้เห็นพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยสายตา ของตัวเอง แต่หลายคนก็พร้อมที่จะเป็นเพียงแค่ “จุดสีเหลือง” จุดเล็กๆ เพื่อให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับรู้ถึงชีวิตและจิตใจของคนไทยที่ยอมตายเพื่อปกป้องชาติและราชบัลลังก์
คำพูดประโยคเด็ดประโยคหนึ่งที่เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าจะตรา ตรึงในหัวใจของคนไทยไปอีกนานแสนนานก็คือ “การที่พวกเรามา แม้จะไม่ได้เห็นพระพักตร์ของในหลวงก็ไม่เป็นไร แต่พวกเรามาเพื่อให้ในหลวงได้เห็นว่า คนไทยรักในหลวงมากมายขนาดไหน”
จะมีก็แต่ “นายขวัญชัย ไพรพนา” แกนนำคนเสื้อแดงจังหวัดอุดรธานีเท่านั้นที่ประกาศเสียงดังฟังชัดถึงกรณี กระแสข่าววกลุ่มคนเสื้อแดงจะไม่มีการสวมใส่เสื้อสีเหลือง ในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2555 ตามนโยบายที่รัฐบาลรณรงค์ว่า “เสื้อเหลืองมาตีเราที่ จ.อุดรฯ เอาเสื้อเหลืองมาทำกันจนเละเทะอย่างนี้ ทำพวกผมติดคุกกันไปเยอะแยะ แล้วเราจะไปใส่ทำไม ส่วนการจัดพิธีถวายพร แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันพรุ่งนี้ (5 ธ.ค.) จะยังคงดำเนินการจัดงานเหมือนเดิมเช่นทุกปี ที่หน้าชมรมคนรักอุดร สำนักงานที่บริเวณหน้าทุ่งศรีเมือง จ.อุดรธานี”
นายขวัญชัย ยังกล่าวอีกว่า จะมีประชาชน มารวมกลุ่มกันที่บริเวณหน้าทุ่งศรีเมืองอย่างต่ำ 500 คน โดยทั้งหมดจะสวมใส่เสื้อสีแดงประดับตราสัญลักษณ์ พร้อมย้ำว่า ตนเองจะไม่สวมใส่เสื้อสีเหลืองแน่นอน และก็ไม่ผิด กฎหมายข้อใดด้วย
ทั้งนี้ หากยังจำกันได้ ก่อนหน้า “ปรากฏการณ์เหลืองทั้งแผ่นดิน” ครั้งล่าสุด ในการประชุมเชิงปฏิบัติการการนำโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริไปขยายผล ในพื้นที่ความมั่นคง ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2555 ณ โรงแรมแม๊กซ์ พระราม 9 “นายสุเมธ ตันติเวชกุล” เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ได้ ขึ้นบรรยายในการประชุมดังกล่าว และในการบรรยายของ ดร.สุเมธในครั้งนั้นก็สร้างความชุ่มชื่นให้เกิดขึ้นในหัวใจของคนไทยทั้งแผ่น ดิน เพราะทำให้ทราบว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยปวงชนชาวไทยตลอดเวลา
ดร.สุเมธกล่าวตอนหนึ่งว่า ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังทรงงานอยู่ เพราะประชาชนยังยากจนอยู่ เมื่อยังมีความยากจน จึงไม่มีเสรีภาพ เขาจึงเป็นประชาธิปไตยไม่ได้ ซึ่งปัญหาความยากจน ไม่ใช่เป็นปัญหาด้านเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่โยงไปถึงการเมืองด้วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีโครงการทั้งหมดประมาณ 6,000 โครงการ ซึ่งไม่ซ้ำกับโครงการรัฐบาล เพื่ออุด ช่องโหว่ช่วยเหลือประชาชน แต่เมื่อราชการเข้ามาถึง จึงถอนออกมา
“จะเห็นได้ว่าโครงการต่างๆ ของพระองค์เน้นรักษา ดิน น้ำ ลม ไฟ หรือ ทรัพยากรธรรมชาติ เพราะถ้าไม่มีแผ่นดิน จะมีประเทศได้อย่างไร แผ่นดินนี้ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งหมายถึง ชีวิต ที่ผ่านมา ทุกคนใช้แผ่นดินนี้ด้วยความโลภ ทำลายแผ่นดิน"
ดร.สุเมธกล่าวด้วยว่า พระองค์ทรงทำได้ด้วยการให้คำแนะนำหรือสอนเท่านั้น เพราะคนที่ดูแลคนทั่วประเทศ คือ รัฐบาล กระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ หากพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดี มีความสงบ ไม่ถูกข่มเหง ไม่ถูกโกง ทำได้เช่นนี้ประเทศมีความมั่นคง และไม่เป็นลัทธิบริโภคนิยม ไม่ใช้ทุกอย่างเกินตัว ต้องใช้อย่างพอประมาณ ต้องรู้ต้นทุนตัวเอง คนรวยแล้วต้องมีคุณธรรม จริยธรรม ไม่คดโกง ไม่คอร์รัปชัน
“ประเทศไทย คนไหนมีเงินก็ยึดไว้หมด ประชาชนเป็นแค่แรงงาน เงินค่าแรง 300บาท ไม่รู้ว่าตอนนี้ขึ้นค่าแรงครบหรือยัง และตอนนี้ข้าวแกงขึ้นไปเท่าไร ถ้าทำให้ประชาชนมีที่ดิน เป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติที่แท้จริง การฝักใฝ่ฝ่ายใดคงไม่มี และไม่มีแบ่งสีนั้น สีนี้ เหมือนปัจจุบัน ซึ่งปัญหาทุกอย่างเกิดขึ้นมีพื้นฐานมาจากด้านเศรษฐกิจทั้งหมด หากปากท้องอิ่ม ชีวิตไม่ต้องทนลำบาก ไม่ต้องเจอวิกฤต เมื่อนั้นจะมีประชาธิปไตยเกิดขึ้น”
ดร.สุเมธกล่าวด้วยว่าว่า ขณะนี้ปัญหาด้านความมั่นคงต้องตีให้แตกว่า มีสาเหตุจากอะไร เพราะปัญหาซ่อนเร้น ไม่เหมือนที่ผ่านมา เมื่อหาสาเหตุได้แล้ว ให้หาต้นเหตุการแก้ไขปัญหา ตามหลักชาวพุทธที่ให้แก้ปัญหาที่ต้นตอ ตราบใดที่หาต้นตอไม่ได้อย่าเพิ่งหมดหวัง ซึ่งเครื่องมือสำคัญที่แก้ไขปัญหา คือ การพัฒนา และการปกครองต้องมีความยุติธรรม มีความรัก เมตตา ความรับผิดชอบ การแก้ไขปัญหาง่ายๆ คือ ให้ประชาชนพ้นจากความยากจน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีหน้าที่แนะนำ ใครจะทำตามก็ได้ แต่เราต้องหาสาเหตุและต้นเหตุให้ได้ จึงจะแก้ไขปัญหาได้ มูลนิธิชัยพัฒนา หมายความว่า เราจะต้องใช้การพัฒนาเพื่อนำไปสู่ชัยชนะ และศึกครั้งนี้ พระองค์ท่านจะนำทัพเอง
ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นอีกครั้งกับคำกล่าวของดร.สุเมธว่า “ศึกครั้งนี้ พระองค์ท่านจะนำทัพเอง”
วันนี้ “ฟ้าสว่าง ในใจ ไทยทั่วหล้า” แล้ว ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่ราชอาณาจักรไทยจะเป็นหนึ่งเดียวเพื่อเเสดงออกถึงความจงรัก ภักดี
ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่ราชอาณาจักรไทยจะกลับมามีสีเดียวอีกครั้ง นั่นคือ สีมหามงคลประจำวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่ราชอาณาจักรไทยจะต้องหลอมรวมและร้อยล้านดวงใจเพื่อถวายองค์ ราชันย์ พร้อมประกาศก้องให้ดังกระหึ่มทั่วทั้ง 3 โลกว่า “เราจะสู้เพื่อในหลวง”
ทีฆายุโก โหตุ มหาราชา
ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนานพระพุทธเจ้าข้า
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน