สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

หมดเวลาแจกประชานิยมถึงครา ไล่ถอนขนห่าน

จาก โพสต์ทูเดย์

ผลจากการโหมกระหน่ำเดินหน้ามาตรการประชานิยมด้วยการหั่นภาษีทั่วหล้าสารพัดของรัฐบาลนั้น

โดย...กนกวรรณ บุญประเสริฐ

ถ้าคำนวณเอาเฉพาะการหั่นภาษีตัวหลักๆ จะพบว่าสะเทือนต่อฐานะการคลังอย่างมาก

เพราะหมายถึงว่า น่าจะสูญเสียรายได้เป็นเงินมหาศาลกว่า 4.54 แสนล้านบาทในระยะ 12 ปีที่จะถึงนี้

อันตรายในภายภาคหน้าที่จะเกิดขึ้นจึงส่งผลให้ ทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง ในฐานะที่เป็นผู้กำกับดูแลกรมจัดเก็บรายได้หายใจไม่ทั่วท้อง ถึงกับเรียกกรมจัดเก็บรายได้มาระดมสมองหากลวิธีรีดภาษีเพื่อชดเชยรายได้ที่ หายไป

พร้อมกับขีดเส้นตายตุนเงินให้ได้ตามเป้าจัดเก็บรายได้ทั้งปีที่ 2.4 ล้านล้านบาท ซึ่งในจำนวนมีเม็ดเงินภาษีหลักๆ มาจากกรมสรรพากร 1.74 ล้านล้านบาท

หมายถึงว่าอันตรายกำลังกล้ำกรายบรรดาผู้เสียภาษีทั้งหลายเข้าให้แล้ว

สำหรับเม็ดเงินภาษีที่หายไปหลักๆ มาจากการปรับลดภาษีนิติบุคคลลงเหลือ 23% ในปี 2555 และ 20% ในปี 2556 ซึ่งกรมสรรพากรประเมินว่า จะทำให้สูญเสียเงินภาษีไปทั้งสิ้น 1.5 แสนล้านบาท ในช่วงเวลา 3 ปี

แบ่งเป็นสูญเสียภาษีในปี 2555 จำนวน 4.5 หมื่นล้านบาท ปี 2556 สูญเสียภาษี 7 หมื่นล้านบาท และปี 2557 สูญเสียภาษี 3.5 หมื่นล้านบาท

ขณะที่การปรับโครงสร้างภาษีบุคคลใหม่ ที่กำหนดให้ผู้มีรายได้สุทธิหลังหักค่าใช้จ่าย 3 แสนบาทแรก เสียภาษี 5% รายได้เกิน 3.5 แสนบาท เสียภาษีในอัตรา 10% รายได้ตั้งแต่ 7.5 แสนบาท จนถึง 1 ล้านบาท เสียภาษี 20% รายได้ตั้งแต่ 12 ล้านบาท เสียภาษี 25% รายได้ตั้งแต่ 24 ล้านบาท เสียภาษี 30% และรายได้ 4 ล้านบาทขึ้นไป เสียภาษีในอัตราสูงสุด 35% ซึ่งจะมีผลในปี 2557 ส่งผลให้รัฐสูญเสียรายได้ไปทันที 2.7 หมื่นล้านบาท

ขณะที่การให้แยกยื่นรายการของสามีภริยา คาดว่ารัฐจะสูญรายได้ในปี 2556 เป็นเงิน 7,000 ล้านบาทเป็นอย่างต่ำ

มาตรการขยายเวลายกเว้นการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลจากเดิมที่หมด อายุในเดือน ก.ย. 2554 ต่อไปอีกจนถึงวันที่ 31 ม.ค. 2556 คิดเป็นเม็ดเงินภาษีที่สูญไปเฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 9,000 ล้านบาท รวมเวลา 16 เดือน รายได้หายไปแล้ว 1.44 แสนล้านบาท

ที่ดังระเบิดเถิดเทิงคือมาตรการ “รถคันแรก” ที่คาดว่าเมื่อปิดโครงการสิ้นปีนี้จะมียอดคนมายื่นใช้สิทธิไม่น้อยกว่า 1.5 ล้านคัน คิดเป็นเม็ดเงินภาษีที่หายไปไม่น้อยกว่า 8 หมื่นล้านบาท

ล่าสุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 25 ธ.ค. 2555 มีมติอนุมัติการขยายระยะเวลามาตรการสำหรับเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชาย แดนภาคใต้อีก 2 ปี ไปสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2557 รวม 10 มาตรการ ซึ่งการขยายเวลามาตรการดังกล่าวจะส่งผลต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล 1,400 ล้านบาทต่อปี รวม 2 ปี เป็นเงิน 2,800 ล้านบาท

มาตรการปรับลดภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จาก 3% เหลือ 2% ของเงินค่าจ้าง ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ได้ปรับลดการจัดเก็บภาษีเงินได้ นิติบุคคลเหลือ 20% ในปี 2556 คาดว่าทำให้สูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีถึง 6.4 หมื่นล้านบาท

จะเห็นว่าแต่ละมาตรการที่นำเสนออกมานั้นล้วนแล้วแต่มีปัญหาในเรื่องรายได้ของรัฐบาลที่จะนำมาพัฒนาประเทศทั้งสิ้น

เรียกว่าเดิมพันของการลดภาษีนั้นสูงลิ่ว เมื่อเทียบกับสิ่งที่จะตามมาคือการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ

แรงดีดสะท้อนของปัญหาดังกล่าวเริ่มออกฤทธิ์ให้เห็นจากการจัดเก็บรายได้ รัฐบาลในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2556 เดือน ต.ค.พ.ย. 2555 พบว่า เงินคงคลังเหลือไม่ถึง 2 แสนล้านบาท จะมีรายได้นำส่งกว่า 3.11 แสนล้านบาท แต่ก็มีการเงินที่ถูกเบิกจ่ายไปมากกว่า 6.11 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ

ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น รัฐบาลนี้คงไม่ทำตัวเป็นซานตาคลอสใจดีแจกของขวัญลูกเดียว ในเมื่อมีให้ก็ต้องมีรับ เพราะฐานะการคลังที่ส่อท่ายวบยาบ

ดังนั้น ภาพที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ และกำลังจะชัดเจนในปีหน้าคือการเร่งระดมรีดเม็ดเงินภาษี ถอนขนเป็ดขนห่าน ขยายฐานภาษีไปทุกซอกทุกมุม รวมถึงการขันนอตการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ในแทบทุกตารางนิ้วและ แทบทุกธุรกิจต้องเผชิญแน่

สาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร แย้มไต๋ออกมาแล้วว่า กรมสรรพากรตั้งเป้าที่จะขยายฐานภาษีในปีภาษี 2556 เพิ่มขึ้นอีก 2 แสนราย โดยเน้นพวกที่อยู่นอกระบบ ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายอยู่ราว 3.5 แสนราย โดยคาดว่าจะขยายฐานให้ครบ 3.5 แสนรายได้ในปีถัดไป

เป้าดังกล่าวถือว่าเป็นการขยายฐานภาษีมากกว่าช่วงปีปกติที่จะทำกันประมาณปีละ 1 แสนราย

นอกจากนี้ จะกวาดต้อนธุรกิจหลายกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากการที่คนมีกำลังซื้อเพิ่ม ขึ้น ทำให้มียอดขายดี มีอัตราขยายตัวสูงใน 11 กิจการแบบใกล้ชิด ได้แก่ 1.ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก ที่คาดจะขยายตัวได้ 12.24% ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนในภาษีมูลค่าเพิ่มถึง 28% 2.ธุรกิจบริการเช่าซื้อรถยนต์ ที่จะขยายตัวดีทั้งจากที่คนมีกำลังซื้อเพิ่มและจากอานิสงส์โครงการรถคันแรก

3.กลุ่มธุรกิจก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างของภาคเอกชนที่คาดว่าจะโต 10% ขณะที่ภาครัฐขยายตัว 16% 4.กลุ่มสื่อสารโทรคมนาคม ก็จะเติบโตดีจากความคืบหน้าการลงทุนระบบ 3จี ให้กับ 3 บริษัท ซึ่งมีวงเงิน 4.16 หมื่นล้านบาท ซึ่งต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 5.ธุรกิจกลุ่มระบบโลจิสติกส์ การท่องเที่ยว และที่เกี่ยวข้อง

6.กลุ่มสุรา เหล้า เบียร์ เครื่องดื่มสุขภาพ เครื่องดื่มชูกำลัง เติบโตได้ดี 7.กลุ่มสถาบันการเงิน ทั้งธนาคารและประกันภัย ขยายตัวดี ตัวเลขเติบโตของกลุ่มประกันภัยจะโตได้ถึง 15.2% 8.กลุ่มธุรกิจน้ำมันปิโตรเลียมและก๊าซ ก็ขยายตัวตามการเติบโตทางเศรษฐกิจ

9.กลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน คาดว่าโตไม่น้อยกว่า 4% ส่วนเขตที่เกิดอุทกภัยจะฟื้นตัวช้ากว่าบ้างเพราะต้องมีการลงทุนเพิ่ม

10.กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่าโต 5.24% และ 11.กลุ่มเครื่องใช้สำนักงานและเครื่องครัว ที่จะมีอัตราเติบโตถึง 39% จากกำลังซื้อของประชาชนที่ดีขึ้น

นี่คือเป้าหมายของการไล่ล่าที่เปิดหน้าออกมาให้เห็น

ยังไม่จบแค่นี้ยังมีคำสั่งในทางลับและทางเปิดให้ขันนอต เน้นเจาะกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มเสียภาษีไม่ครบ เช่น ธุรกิจข้ามชาติที่มีการโอนถ่ายภาษีไปให้บริษัทแม่ ธุรกิจนำเข้ารถหรูหรือเกรย์มาร์เก็ต ธุรกิจซื้อขายทางอินเทอร์เน็ต อีคอมเมิร์ซ ธุรกิจพระเครื่อง ธุรกิจส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาวและเขมร เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีการปรับอัตราภาษีของกลุ่มคณะบุคคล ที่เคยมีช่องโหว่ในอดีต โดยจะดัดหลังด้วยการแยกคำจำกัดความของคณะบุคคลใหม่ ถ้าเป็นการรวมตัวกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และไม่ได้มุ่งเอากำไรมาแบ่งปันกัน จะให้เสียภาษี 20% จากเดิมเสีย 10%

ภาพทั้งหมดที่หงายออกมาบ่งบอกได้ว่า ปีหน้าสั่งหน่วยงานจัดเก็บรายได้ทั้งหมดจะปูพรมไล่ถอนขนห่าน ล่าขนแพะ แบบรีด ไล่ ล่า หาเม็ดเงินภาษีทั้งจากภาคประชาชนและภาคธุรกิจกันให้จ้าละหวั่นแน่นอน


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : หมดเวลาแจก ประชานิยม ไล่ถอนขนห่าน

view