จากประชาชาติธุรกิจ
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท.กล่าวถึงข้อเสนอของนายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (บอร์ด ธปท.) ที่ให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจากปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 2.75 เพื่อสกัดเงินเก็งกำไรที่ไหลเข้ามาเก็งกำไรส่วนต่างดอกเบี้ย ว่า การพิจารณาอัตราดอกเบี้ยเป็นหน้าที่ของกรรมการ กนง. ทั้ง 7 คน โดยจะตัดสินใจจากข้อมูลที่ได้รับซึ่งคาดว่าในการประชุมครั้งต่อไป ในวันที่ 20 ก.พ.2556 จะมีข้อมูลเศรษฐกิจในเดือนธันวาคม 2555 มาพิจารณาด้วย ซึ่ง กนง.จะพิจารณาจากปัจจัยรอบด้าน ถ้าเห็นว่าเศรษฐกิจมีความเปราะบางก็จะประคองเพื่อลดจุดอ่อน ให้เศรษฐกิจเดินได้ ซึ่งการจะลดดอกเบี้ยลงหรือไม่ จะพิจารณาจากข้อมูลเศรษฐกิจเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยของไทย เป็นตัวสะท้อนเศรษฐกิจไทยที่มีอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจดี ทั้งการบริโภค การลงทุน สะท้อนจากสินเชื่อที่ขยายตัวสูง และอัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับต่ำเพียงร้อยละ 0.4 แตกต่างจากเศรษฐกิจสหรัฐ และญี่ปุ่นที่มีปัญหา นอกจากนี้ การที่อัตราดอกเบี้ยต่ำเกินไป อาจจะเพิ่มการก่อหนี้ภาคครัวเรือน ซึ่งจะเป็นจุดเปราะบางของเศรษฐกิจ และเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ ธปท.ติดตาม เนื่องจากหนี้ภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นสูงมาก จากร้อยละ 58 ของจีดีพีในปี 2552 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 75 ของจีดีพี ในไตรมาส 3 ปี 2555 อีกทั้งการที่ดอกเบี้ยต่ำเป็นความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาฟองสบู่ได้
ด้าน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยไม่ได้ช่วยหยุดยั้งการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ เพราะส่วนต่างดอกเบี้ยไทยกับสหรัฐ ที่ประมาณร้อยะ 3 เกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว ก่อนที่เงินบาทจะแข็งค่า ปัญหาเงินทุนเคลื่อนย้ายเกิดจากการกู้เงินจากแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ มาลงทุนในประเทศที่มีผลตอบแทนสูง หรือ CARRY TRADE ซึ่งเกิดขึ้นทั่วโลก เพราะจะได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่า บวกด้วยกำไรจากส่วนต่างดอกเบี้ย ดังนั้น การแก้ปัญหาจะต้องค่อยเป็นค่อยไป อย่าใช้มาตรการสกัดกั้นเงินทุนอย่างเด็ดขาดและรุนแรง เพราะเงินทุนจะถอนการลงทุนออกจากไทยอย่างรุนแรงเช่นกัน ซึ่งการทำหน้าที่ของ ธปท.เหมาะสมอยู่แล้ว
นอกจากนี้เห็นว่าควรให้อิสระกับกรรมการ กนง.ทั้ง 7 คน ที่มีความรู้ ความสามารถ และมีข้อมูลครบทุกด้าน เป็นผู้ตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ย ซึ่งหากจะมีการลดดอกเบี้ย ก็เกิดจากตัดสินใจของกรรมการ กนง.ไม่ได้จากแรงกดดัน หรือการชี้นำแต่อย่างใด
ส่วนข้อกังวลเรื่องปัญหาฟองสบู่ในตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดจาก เงินทุนไหลเข้านั้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า ยังไม่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะในตลาดหุ้น เนื่องจากอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ หรือ พีอี เรโช ยังไม่เกิน 15 เท่าถือว่ายังเหมาะสม ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ เริ่มเห็นสัญญาณฟองสบู่อ่อน ๆ ในอสังหาริมทรัพย์บางประเภท เช่น ศูนย์การค้าขนาดย่อม หรือ Community Mall ที่มีผู้บริโภคเข้ามาจับจ่ายซื้อสินค้าน้อยลง แต่ในอสังหาริมทรัพย์ ประเภทคอนโดมิเนียม ตามแนวรถไฟฟ้า ยังขายได้ดี ซึ่งหน่วยงานด้านเศรษฐกิจคงจับตามองอยู่แล้ว
ที่มา : สำนักข่าวไทย
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน