สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

งัดมาตรการสกัดหุ้นร้อน! ป้องนลท.หน้าใหม่

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ห่วงนักลงทุนหน้าใหม่ ม.ค. เดือนเดียวเข้าตลาดหุ้น 2 หมื่นราย หวั่นเจ็บตัวจนขยาดตลาดหุ้น "จรัมพร" แย้มยังมีมาตรการสกัดหุ้นร้อนแรงอื่นๆ

นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นร้อนแรง มีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยจำนวนมาก ซึ่งพบว่าในเดือนม.ค. เพียงเดือนเดียว มีจำนวนบัญชีเปิดใหม่ 2 หมื่นบัญชี ส่งผลให้บัญชีการลงทุนทั้งหมดอยู่ที่ 8.3 แสนบัญชี จากสิ้นปีก่อนหน้า อยู่ที่ 7.9 แสนบัญชี

ขณะที่จำนวนบัญชีที่ซื้อขายบ่อยครั้ง หรือ แอ็คทีฟ มาอยู่ที่ 2.7 แสนบัญชี เพิ่มขึ้นจากช่วงสิ้นปี 2555 จำนวน 5 หมื่นบัญชี ซึ่งเป็นห่วงว่า นักลงทุนรายใหม่ที่เข้ามา มีข้อมูลหุ้นที่เข้าลงทุนเพียงพอหรือไม่ หากมีข้อมูลน้อยแล้วลงทุนหุ้นที่ร้อนแรง โดยเฉพาะหากทุ่มเงินทั้งก้อนในหุ้นกลุ่มนี้ หากเจ็บตัวไปจะหายไปจากตลาดนาน 3-5 ปี

"เป็นห่วงนักลงทุนหน้าใหม่ที่เข้ามาลงทุน หากลงทุนโดยมีข้อมูลเพียงพอ รู้เขา รู้เรา ก็ไม่น่าห่วง แต่หากเข้าลงทุนในหุ้นที่ไม่รู้จัก น่าเป็นห่วง จึงอยากแนะนำให้กระจายความเสี่ยง อย่างน้อยเงินครึ่งหนึ่ง ควรลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานรองรับ เพราะอยากให้ได้รับผลตอบแทนนานๆ ไม่ใช่ 3-6 เดือนแล้วเจ็บตัว ซึ่งจะทำให้ขยาดต่อตลาดหุ้น แล้วหายไปนาน 3-5 ปี"

เขากล่าวต่อว่า ภาพรวมตลาดในปัจจุบัน หากดูปัจจัยพื้นฐาน ราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (พีอี) อยู่ที่ระดับ 15-16 เท่า ใกล้เคียงกับตลาดอื่นในภูมิภาค เพียงแต่มีหุ้นพิเศษ หรือหุ้นที่มีพีอีสูงมากกว่า 40 เท่า ถึง 71 ตัว เพิ่มขึ้นจากช่วงไตรมาส 3 ของปีก่อนที่มีอยู่เพียง 24 ตัว ซึ่งหุ้นกลุ่มนี้คาดว่าจะมีการเติบโตสูง 15-20% ต่อปีในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า

ในช่วงเวลาไม่ถึงปี มีหุ้นที่พีอีสูง หรือคาดว่าจะเติบโตก้าวกระโดดระยะยาวสูงถึง 50 ตัว ยังไม่รวมกลุ่มที่มีผลการดำเนินงานขาดทุนอีก 50 ตัว เป็นจุดที่ต้องตั้งคำถาม หรือ มีข้อสังเกตอยู่แล้วว่า เป็นไปได้หรือไม่ ตลาดหลักทรัพย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้าไปเตือน

"การออกมาส่งสัญญาณเตือนนักลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ยอมรับว่ามีคนบ่นบ้าง เพราะกำลังสนุกสนานกับภาวะตลาดขาขึ้น แต่ผมมองว่าปาร์ตี้ ย่อมมีวันเลิกรา จึงอยากให้นักลงทุนใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบมากขึ้น ซึ่งตลาดฯเองก็คงจะต้องเตือนนักลงทุนไปเรื่อยๆ"

ส่วนมาตรการการสกัดหุ้นร้อนเหล่านี้ ตลาดหลักทรัพย์ ยังมีมาตรการอื่นๆ ในกระเป๋าอยู่แล้ว แต่ควรใช้หรือไม่นั้น ขอติดตามดูผลการปรับมาตรการซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยบัญชีเงินสด หรือ แคช บาลานซ์ จาก 3 สัปดาห์ เป็น 6 สัปดาห์ก่อน ซึ่งการซื้อขายด้วยเงินสดจะช่วยทั้งตัวนักลงทุน และระบบในการบริหารความเสี่ยง ในการจำกัดวงกว้างของความเสียหายให้อยู่เฉพาะเงินที่ซื้อขาย แต่หากกู้มาซื้อหุ้น หรือใช้มาร์จินจะเสียหายไปถึงระบบเศรษฐกิจที่แท้จริง

"ภาวะตลาดโดยรวมยังไม่ใช่ฟองสบู่ ฟองสบู่เกิดเป็นกลุ่มๆ หุ้นเล็กที่พีอีสูงๆ โดยไม่มีพื้นฐานรองรับ ผมก็บอกว่าเป็นฟองสบู่ เพราะไม่เชื่อว่าแค่เวลาไม่ถึงปี จะทำให้มีหุ้นพิเศษเพิ่มขึ้นถึง 50 ตัว อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเป็นฟองสบู่แค่บางกลุ่ม แต่หากฟองสบู่กลุ่มนี้แตก ก็คงจะส่งผลกระทบต่อภาวะตลาดโดยรวมบ้าง"


เขากล่าวต่อว่า การเข้าลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ในตลาดหุ้นไทย เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดอื่นในภูมิภาค แม้ว่าในเดือนก.พ. นี้ส่วนใหญ่ต่างชาติจะขายออก แต่มองว่าเป็นการขายเพื่อทำกำไรตามปกติ หลังจากช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นแรงต่อเนื่อง

สำหรับมุมมองของนักลงทุนต่างชาติในภาวะที่ตลาดหุ้นไทยร้อนแรงนั้น ที่ผ่านมาได้ยินมา 2 กระแส คือ ส่วนหนึ่งมองว่าหากตลาดหุ้นไทยร้อนแรงเกินไป ก็จะหลีกเลี่ยงที่จะเข้าลงทุน ในขณะที่อีกหนึ่งกลุ่มมองว่า การที่ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นแรง เป็นเรื่องดี เพราะจะทำให้สภาพคล่องในตลาดดีขึ้น เพราะสภาพคล่องเป็นเรื่องสำคัญ แม้ว่าจะมี Negative Trader บ้าง ก็ยอมรับได้

เมื่อเทียบตลาดหุ้นไทย กับตลาดอื่นในภูมิภาค ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ ยังเชื่อว่า ความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในอันดับต้นๆ ในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ จากผลตอบแทนที่อยู่ในระดับที่ดี โดยจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนแล้ว 9-10% บวกกับสภาพคล่องในตลาดที่อยู่ในระดับสูง ในเดือนม.ค. มีมูลค่าการซื้อขาย (วอลุ่ม) เฉลี่ยเกือบ 6 หมื่นล้านบาทต่อวัน สูงกว่าตลาดหุ้นสิงคโปร์มากกว่า 20%

รวมทั้งยังมีหุ้นขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) เกิน 1 พันล้านดอลลาร์ หรือ เกิน 3 หมื่นล้านบาท และมีวอลุ่มซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเกิน 10 ล้านดอลลาร์ ถึง 27 ตัว สูงสุดเป็นประวัติการณ์

นอกจากนี้ประเทศไทยยังอยู่ในศูนย์กลางของประชาคมอาเซียน หรือ เออีซี และกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง หรือ จีเอ็มเอส (GMS) ซึ่งเศรษฐกิจมีการเติบโตเร็ว และอยู่ในความสนใจของนักลงทุนต่างชาติ นักลงทุนจึงไม่สามารถมองข้ามบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ที่เข้าไปลงทุนในกลุ่มประเทศเหล่าหนี้ได้

เขากล่าวต่อว่า ผลจากภาวะตลาดหุ้นไทยที่ร้อนแรง ส่งผลให้แผนงานตลาดของปีนี้หลายส่วนทะลุเป้าไปแล้ว ตั้งแต่เดือนม.ค. ที่ผ่านมา โดยเฉพาะเป้าหมายวอลุ่มการซื้อขาย ที่ตั้งเป้าปีนี้ว่าวอลุ่มเฉลี่ยจะอยู่ที่ 3.2 หมื่นล้านบาทต่อวัน แต่ในเดือนม.ค. วอลุ่มเฉลี่ยอยู่ที่ 6 หมื่นล้านบาทต่อวัน ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) ทะลุ 12 ล้านล้านบาท คิดเป็น 103% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จากแผนงานทั้งปีตั้งเป้ามาร์เก็ตแคปต่อจีดีพี 100%

ส่วนจะมีการปรับแผนงานของปีนี้หรือไม่ ตลาดขอเวลาติดตามสถานการณ์อีก 1 เดือน หรือสิ้นไตรมาสแรกของปีนี้ เพื่อดูว่าภาวะตลาดที่เป็นอยู่ในปัจจุบันยั่งยืนหรือไม่ วอลุ่มซื้อขายที่หนาแน่นจะสามารถยืนอยู่ในระดับนี้ได้แค่ไหน


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : งัดมาตรการ สกัดหุ้นร้อน ป้องนลท. หน้าใหม่

view