บทความจากคุณ sumsung
จากเว็ป doohoon [1]ครับ
prop trade เค้าบอกว่า โครงสร้าง ในการลงทุนหุ้นในประเทศไทย นักลงทุนรายย่อย เป็นเหยื่อของ ต่างชาติ กองทุน และบัญชีหลักทรัพย์ เพราะโครงสร้างมันถูกออกแบบมาแบบนั้น(ระบบทุนนิยม ปลาใหญ่ กิน ปลาเล็ก)
ผม เล่นหุ้นมา อ่านหนังสือมา ดูรายการเกี่ยวกับหุ้นทางทีวี ผมจะลำดับความให้ฟังกับ เพื่อนๆ ที่นี้ให้ฟัง (ผมไม่ได้มีอคติกับใครน่ะครับ) ผมได้เงินมาก็พอสมควร แต่ผมวันนี้จะมาบอกให้รายย่อย ได้ข้อมูลที่ผมรู้มา เพื่อเป็นประโยชน์
- ข้อมูลที่นักลงทุนรายย่อย ได้รับช้ากว่า ต่างชาติ กองทุน บัญชีหลักทรัพย์
- เวลาที่พวกเราซื้อ ขาย หุ้น รายย่อย จะไม่รู้เลยว่า ใครซื้อขาย หุ้นตัวไหน แต่ โบกเกอร์กับบัญชีหลักทรัพย์(prop trade) รู้หมด แล้วเค้าก็รวบรวมข้อมูลนี้ในการตัดสินใจ ซื้อขาย รายย่อยก็เสียเปรียบครับ
- บัญชีหลักทรัพย์(prop trade)กับนักวิเคราะห์ในโบกเกอร์ ส่งข่าวสาร ข้อมูลกันตลอด เค้ารู้ว่าตอนนี้หุ้นไหนมีคำสั่ง ซื้อ ขาย ตลอดเวลา เพราะ โบกเกอร์ต่างๆ มันรวมหัวกัน
- นักลงทุน ขาใหญ่ (ที่ชอบออก ทีวี บ่อยๆ) เค้าจะมีผลประโยชน์กับ โบกเกอร์ และ prop trade
- prop trade ไม่เสียค่า คอมมิสชั่น และก็เป็นคนเล่นหุ้นปั่นเองด้วย(เป็นเจ้ามือ) สังเกตุได้จาก หุ้น blue chip พักฐาน จะมีหุ้นแปลกๆ มาให้เห็นในกระดาน เพราะหุ้นปั่น ต่างชาติ กับ กองทุน เค้าไม่เล่น เพราะมีกฎ กติกาบังคับอยู่
- ข้อมูลลึกๆ ไม่มีให้เห็นตามสื่อหรอก รู้กันแค่วงใน(insider)
- ผู้บริหาร บาง บมจ. ถ้าเค้าจะให้หุ็นขึ้น ก็เชิญ นักวิเคระาห์มาพูดคุย ระบบผลประโยชน์ก็เริ่มทำงานทันที(ไม่มีจริยธรรม และธรรมาภิบาล) เพราะเงิน คือทุกอย่างที่เค้าต้องการ
- บทวิเคาระห์ที่ออกมา จากโบกเกอร์ สู่นักลงทุนรายย่อย มันช้าแล้ว เพราะ prop trade เค้า action ลงในหุ้นหมดแล้ว
- โบกเกอร์ ชอบออกสื่อ เพื่อขายสินค้า หาเงิน
- โบกเกอร์ ชอบเปิด คอร์สสอน การวิเคราะห์ทางเทคนิค เพื่อหาเงิน อยู่ตลอดเวลา (ได้ค่าคอมมิสชั่นยังไม่พอ) แล้วที่สอนก็พื้นๆ เค้าบอกว่าถ้าจะให้สอนลึกก็ต้องลง advance ตอดเงินไปเรื่อยๆ
- MAKETING ถ้าทำยอด trade ไม่ได้ตามเป้าจะถูกเรียกไปคุยทันที่ maketing ชอบโทรมาให้ซื้อ ๆ ขายๆ หุ้น บ่อย เพื่อจะได้มียอดสูงๆ จะได้ไม่ถูกเรียกไปคุย (มีความกดดันสูง)
- นักวิเคาะห์ กับ maketing ก็เล่นหุ้นด้วย(ใช้ nominee)
- เครื่องมือวิเคราะห์ทาง เทคนิค ก็มีความไม่เท่าเทียมกัน (ของฟรี ก็ดูได้ไม่ครบทุกอย่าง) ถ้าจะดูได้ และทำได้เยอะๆ ก็ต้องเป็นสมาชิกเสียรายปี ปีละหลายหมื่นบาท แล้วถ้าคนเงินน้อยจะกล้าลงทุนไหม
- หนังสือหุ้นที่ขายกันตามท้องตลาด ก็เพื่อเงิน และชื่อเสียงในสังคม ทั้งนั้น
- 90% ของรายย่อย เสียเงินในตลาดหุ้น ติดดอยบ้าง( เชื่อคนนั้นคนนี้ เชียร์ให้ซื้อหุ้น)
- รายย่อย 50% ยังอ่านงบการเงินไม่เป็นเลย
- รายย่อย 60% ดู technical ไม่เป็นเลย
- ตลาดหุ้นไทย คนที่เป็นนักลงทุนจริงๆ (ลงทุนเหมือน warrent buffet)มีน้อยมาก ส่วนใหญ่มีแต่นักเก็งกำไร เพราะต้องการรวยเร็ว
- ศัพท์ที่ใช้ให้ตลาดหุ้น มีแต่คำสุภาพทำให้คนหลง กับคำสิ่งสวยงาม
- ศัพท์ในตลาดหุ้น ศัพท์ชาวบ้าน
- การเก็งกำไร = การพนัน
- นักวิเคราะห์ = หมอดู(หุ้น)
สิ่งที่ผมเขียนในนี้ ผมต้องการให้คนอ่านเป็นข้อมูลเท่านั้น ส่วนให้จะเชื่อหรือไม่เชื่อ เค้าต้องตัดสินใจเอาเอง
ที่มา[1]http://www.doohoon.com/smf/index.php?topic=66752.0
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน