สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

เปิดรายงานกนง.ยังไม่ไว้ใจคิวอีขย่มตลาดเงิน

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

เปิดรายงานกนง. วันที่ 21 ส.ค. มติ 6:1 คงดอกเบี้ยนโยบาย รับยังไม่ไว้วางใจผลกระทบคิวอี ขย่มตลาดเงิน-ทุน

รายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (ฉบับย่อ) ครั้งที่ 6/2556 วันที่21 สิงหาคม 2556 ธนาคารแห่งประเทศไทย เผยแพร่ ณ วันที่ 4 กันยายน 2556 กรรมการที่เข้าร่วมประชุม นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล (ประธาน), นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ (รองประธาน), นางทองอุไร ลิ้มปิติ, นายอำพน กิตติอำพน, นายศิริ การเจริญดี, นายณรงค์ชัย อัครเศรณี และนายอัศวิน คงสิริ

ภาวะตลาดการเงินเงินดอลลาร์ สรอ. มีแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลหลัก จากคำแถลงของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ยังไม่กำหนดเวลาชัดเจนในการทยอยปรับลดวงเงินการทำธุรกรรม QE ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโรและญี่ปุ่นปรับตัวดีขึ้น เงินดอลลาร์ สรอ. ปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลภูมิภาค หลังจากตลาดเริ่มให้น้ำหนักมากขึ้นกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและภูมิภาค และปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในบางประเทศ เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนและมีทิศทางอ่อนค่าลง โดยเฉพาะหลังการประกาศตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในไตรมาสที่ 2 ที่ต่ำกว่าที่ตลาดคาด ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลต่อค่าเงินบาทในระยะต่อไป ได้แก่

(1) แนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศหลักและจีนรวมทั้งภูมิภาค และ (2) ช่วงเวลาของการทยอยปรับลดวงเงินการทำธุรกรรม QE ของธนาคารกลางสหรัฐฯ อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินค่อนข้างทรงตัว ขณะที่เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับชันขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นปรับลดลง ตามความต้องการลงทุนระยะสั้นจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ระยะปานกลางถึงยาวปรับเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งนี้ผู้ร่วมตลาดส่วนใหญ่คาดว่า กนง. จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้

คณะกรรมการฯ อภิปรายถึงความผันผวนในตลาดการเงินของประเทศในภูมิภาค โดยเฉพาะอินโดนีเซีย อินเดีย และมาเลเซีย โดยสองประเทศแรกมีความเสี่ยงจากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่มาเลเซียมีความเสี่ยงจากภาคการคลังที่อ่อนแอลง ทั้งนี้การถือครองพันธบัตรของนักลงทุนต่างชาติในตลาดพันธบัตรมาเลเซียมีสัดส่วนค่อนข้างสูง ทำให้มาเลเซียมีความเสี่ยงทางด้านความผันผวนของค่าเงินจากการเคลื่อนย้ายเงินทุน แม้ว่าพื้นฐานเศรษฐกิจโดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี

ภาวะเศรษฐกิจต่างประเทศ

เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวจากการฟื้นตัวของภาคการผลิตและภาคที่อยู่อาศัย รวมทั้งฐานะการเงินของภาคเอกชนที่ปรับดีขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุน

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป เศรษฐกิจกลุ่มประเทศยูโร มีเสถียรภาพมากขึ้นและมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ตามภาคการผลิตที่ปรับดีขึ้น โดยเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2554 อย่างไรก็ดี ฐานะการเงินของภาคเอกชนและภาคสถาบันการเงินยังคงอ่อนแอ ท าให้ยังต้องอาศัยเวลาในการฟื้นตัว เศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัว

อย่างค่อยเป็นค่อยไป จากแรงส่งของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ เศรษฐกิจจีนชะลอลงในไตรมาสที่ 2 แต่ข้อมูลล่าสุดชี้ว่ามีสัญญาณปรับดีขึ้น และคาดว่าแรงส่งในระยะต่อไปจะมาจาก

การลงทุนของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยความเสี่ยงต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนปรับลดลงเมื่อเทียบกับการประชุมครั้งก่อน เศรษฐกิจเอเชีย อุปสงค์ภายในประเทศชะลอลง ขณะที่

การส่งออกโดยรวมยังคงอ่อนแอ แม้เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวของการส่งออกในบางประเทศ สำหรับแรงกดดันเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ าใกล้เคียงเดิม และธนาคารกลางส่วนใหญ่ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

ภาวะเศรษฐกิจในประเทศ

ตัวเลข GDP ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 สะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในระยะสั้นใกล้เคียงกับที่คาด และคาดว่าอุปสงค์ภายในประเทศและการส่งออกจะทยอยฟื้นตัวในระยะข้างหน้า

ขณะที่ปัญหาเชิงโครงสร้างอาจมีนัยต่อศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยด้วย ทำให้ไทยอาจไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไป การบริโภคภาคเอกชน

มีแนวโน้มชะลอต่อเนื่อง ตามการใช้จ่ายสินค้าคงทนโดยเฉพาะในหมวดยานยนต์ที่ลดลงนานกว่าคาดหลังจากที่เร่งตัวมากในช่วงก่อนหน้าจากมาตรการรถคันแรก อีกทั้งสถาบันการเงินมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อเพื่อการบริโภคมากขึ้น โดยการผิดนัดชำระหนี้เริ่มมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นบ้าง ซึ่งอาจมีผลลดทอนการใช้จ่ายสินค้าคงทนด้วยเช่นกัน ด้านการส่งออกยังไม่มีทิศทางดีขึ้นชัดเจน

โดยในระยะต่อไปบางอุตสาหกรรมยังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก ซึ่งท าให้แนวโน้มจ านวนเงินลงทุนในอุตสาหกรรมดังกล่าวปรับลดลง สำหรับภาครัฐ แม้ยังมีบทบาทช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่ แต่คาดว่าจะยังไม่มีแรงกระตุ้นเพิ่มเติมอย่างมีนัยสำคัญในระยะสั้น

คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2556 และ 2557 อาจจะขยายตัวต่ำกว่าประมาณการเดิม โดยการบริโภคภาคเอกชนและการส่งออกสินค้าอาจชะลอตัวนานกว่าคาด ประกอบกับ

แรงกระตุ้นจากภาครัฐยังมีความเสี่ยงที่จะล่าช้า อย่างไรก็ดีในระยะสั้น แม้เศรษฐกิจจะชะลอลงแต่ก็เป็นอัตราการขยายตัวที่ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ในการประชุมครั้งก่อน และเศรษฐกิจยัง

มีแรงขับเคลื่อนต่อไปได้ภายใต้ภาวะการเงินที่ผ่อนปรนซึ่งน่าจะช่วยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่ง ส่วนแรงกดดันเงินเฟ้อลดลง ตามอุปสงค์และต้นทุนที่ยังอยู่ในระดับต่ำ

โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนกรกฎาคมออกมาต่ำกว่าคาดกรรมการฯ บางท่านมีความเป็นห่วงผลกระทบของสินเชื่อที่มีรถยนต์ค้ำประกัน ว่าหากการผิดนัด

ชำระหนี้สินเชื่อดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้น ก็อาจส่งผลกระทบต่อราคารถยนต์มือสองในตลาด มูลค่าหลักประกัน และฐานะทางการเงินของสถาบันการเงินผู้ปล่อยกู้ได้ในที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาราคารถยนต์มือสองได้ปรับลดลงค่อนข้างมาก

อย่างไรก็ตาม สินเชื่อรถยนต์มือสองยังมีสัดส่วนค่อนข้างน้อยเทียบกับสินเชื่อรถยนต์ใหม่ และส่วนหนึ่งของผู้กู้สินเชื่อรถยนต์ใหม่คือตัวแทนจำหน่าย ทำให้ผลกระทบน่าจะอยู่ในวงจำกัดและไม่ได้เป็นความเสี่ยงเชิงระบบ นอกจากนั้น กรรมการฯ บางท่านเห็นว่าจำเป็นต้องติดตามการปล่อยสินเชื่อประเภทต่าง ๆ ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น เช่น สินเชื่อส่วนบุคคลที่ใช้รถยนต์เป็นหลักประกัน (Car-for-cash loans) ซึ่งปัจจุบันกฎเกณฑ์ค่อนข้างผ่อนคลาย และใช้เพียงทะเบียนรถยนต์เป็นหลักฐาน รวมทั้งสินเชื่อข้าราชการผ่านสหกรณ์ออมทรัพย์ฯ ซึ่งอยู่นอกเหนือการกำกับของ ธปท.

คณะกรรมการฯ อภิปรายถึงผลกระทบจากความผันผวนของตลาดการเงินโลกที่มีต่อเศรษฐกิจไทย หลังการปรับลดมาตรการ QE ของสหรัฐฯ (QE Tapering) โดยส่วนหนึ่งเห็นว่าปัจจัยที่จะมีผลต่อสัดส่วนของการลงทุนในสินทรัพย์ตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) ขึ้นอยู่กับ (1) การสื่อสารของธนาคารกลางสหรัฐฯ เกี่ยวกับความเร็ว ขั้นตอนและยุทธศาสตร์ของการลดปริมาณ QE และ (2) พื้นฐานเศรษฐกิจของแต่ละประเทศที่แตกต่างกันไป ซึ่งสำหรับประเทศไทยเห็นว่ายังไม่สามารถวางใจได้กรรมการบางท่านเห็นว่าอีกปัจจัยที่มีผลมากต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนออกจาก

ตลาดเกิดใหม่ในช่วงนี้คือ การคาดการณ์อัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจของแต่ละประเทศคงไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากในระยะสั้นจนมีผลต่อนักลงทุน อีกทั้งนักลงทุนต่างชาติบางส่วนมักพิจารณาตลาดเอเชียเป็นกลุ่ม ไม่ได้แยกแยะพื้นฐานแต่ละประเทศโดยละเอียดนัก จึงจำเป็นต้องติดตามแนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างใกล้ชิดต่อไป กรรมการท่านหนึ่งเห็นว่าความผันผวนของค่าเงินบาทจะยังคงมีอยู่ จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ท าให้ไม่สามารถวางใจได้ว่าแรงกดดันเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับต่ าต่อเนื่องในระยะข้างหน้าการดำเนินนโยบายที่เหมาะสม

คณะกรรมการฯ เห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่องในไตรมาสที่ 2 ใกล้เคียงกับที่คาดในการประชุมครั้งก่อน จากทั้งอุปสงค์ภายในประเทศและการส่งออก และเห็นพ้องกันถึงความจำเป็นในการดำรงนโยบายการเงินที่ผ่อนปรนในปัจจุบันต่อไปเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

กรรมการ 6 ท่านเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.50 ต่อปี โดยเห็นว่าประสิทธิผลของการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมอาจมีไม่มากนักในปัจจุบัน เมื่อเทียบกับต้นทุน

เนื่องจาก (1) การชะลอลงของการบริโภคในประเทศ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ภาคครัวเรือนได้ก่อหนี้ในระดับสูงแล้ว และน า demand อนาคตส่วนหนึ่งมาใช้ล่วงหน้าด้วย การกระตุ้นเพิ่มเติม

จึงอาจมีผลจำกัดและกลับเพิ่มความเสี่ยงด้านเสถียรภาพการเงินได้ (2) การส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นปัจจัยสำคัญ ซึ่งเริ่มมีสัญญาณว่าจะทยอยปรับดีขึ้นในระยะต่อไป (3) ในปัจจุบันที่ภาวะเศรษฐกิจการเงินโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง และภาวะเงินทุนเคลื่อนย้ายยังมีความผันผวน การผ่อนคลายนโยบายการเงินอาจเป็นการเพิ่มความไม่แน่นอนต่อตลาด ทำให้ผลในแง่การเสริมความมั่นใจให้กับภาคเอกชนมีจ ากัด (4) อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงติดลบมาอย่างต่อเนื่อง การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมอาจลดแรงจูงใจในการออม จนกระทบการลงทุนและศักยภาพของเศรษฐกิจในระยะยาวได้และ

(5) การชะลอตัวของเศรษฐกิจส่วนหนึ่งเป็นผลจากข้อจำกัดด้านอุปทาน การเพิ่มแรงกระตุ้นด้านอุปสงค์ด้วยนโยบายการเงินจึงอาจไม่ได้ผลเต็มที่ หากไม่มีการเร่งปรับปรุงเชิงโครงสร้างเพื่อพัฒนาศักยภาพเศรษฐกิจควบคู่กันกรรมการ 1 ท่านเห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 เพื่อสนับสนุนความต่อเนื่องของการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้า ผ่านการสนับสนุนรายได้ของแรงงานและช่วยลดภาระหนี้ของภาคครัวเรือน โดยผลต่อเศรษฐกิจในปีนี้อาจมีจ ากัด เนื่องจากนโยบายการเงินใช้เวลาในการส่งผ่านประกอบกับในภาวะปัจจุบัน ระดับอัตราดอกเบี้ยในประเทศคงไม่ใช่ปัจจัยหลักที่มีผลต่อภาวะเงินทุนเคลื่อนย้าย จึงสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงได้ คณะกรรมการฯ จึงมีมติ 6 ต่อ 1 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.50 ต่อปี


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : เปิดรายงานกนง. ยังไม่ไว้ใจ คิวอี ขย่มตลาดเงิน

view