จาก โพสต์ทูเดย์
โดย...ทีมข่าวการเมือง
การพิจารณาวาระ 2 ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน คมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. ... หรือ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทนั้น สส.ประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้แปรญัตติไว้ 115 คน
ส่องดูรายละเอียดที่ สส.ปชป. แปรญัตติไว้ พบว่า มีการแปรญัตติตั้งแต่ชื่อร่าง พ.ร.บ.ไปจนถึงคำปรารภ อาทิ บุญยอด สุขถิ่นไทย แปรญัตติไว้ว่า “ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินสองล้านล้านบาท เพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในทุกด้านไม่เกินร้อยละ 50 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ” ส่วน องอาจ คล้ามไพบูลย์ “ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกำหนดเงินให้จ่าย เพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง การสาธารณสุขและการศึกษาของประเทศ”
ขณะเดียวกัน มีการแปรญัตติปรับลดในวงเงินการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท อาทิ อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี สส.กทม. วิทยา แก้วภราดัย สส.นครศรีธรรมราช วิฑูรย์ นามบุตร แปรญัตติเป็น มีมูลค่ารวมไม่เกิน 2 แสนล้านบาท ส่วน กรณ์ จาติกวณิช สส.กทม. แก้เป็นไม่เกิน 4 แสนล้านบาท
สำหรับมาตราที่สมาชิกให้ความสนใจแปรญัตติกันมากคือ มาตรา 3 ที่กำหนดคำนิยาม คำว่า โครงการ, แผนงาน, ยุทธศาสตร์, เพื่อตีกรอบโครงการที่จะใช้งบประมาณจากการกู้เงินให้มีความรอบคอบรัดกุม ไม่ให้เกิดการรั่วไหล จากปัญหาที่การกู้เงินขาดรายละเอียดโครงการ อาทิ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค สส.กทม. ได้แปรญัตติเพิ่มจากเดิมที่นิยาม “แผนงาน” ไว้เพียงแค่ แผนงานตามยุทธศาสตร์ ที่กำหนดไว้ในบัญชีแนบท้าย โดยเพิ่มเติมว่า รวมทั้งข้อมูล เอกสาร ผลการศึกษา รวมทั้งข้อมูลและเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวกับโครงการต่างๆ ตามแผนงานดังกล่าว ที่คณะรัฐมนตรีเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร เป็นเอกสารประกอบร่าง พ.ร.บ. หรือที่เป็นเอกสารประกอบการชี้แจงต่อที่ประชุมสภา
ขณะที่คำว่า “ยุทธศาสตร์” อาคม เอ่งฉ้วน สส.กระบี่ ได้แปรญัตติเพิ่มว่า ยุทธศาสตร์ ที่นอกจาก ครม.จะมีมติให้ความเห็นชอบแล้ว “อยู่ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ”
มาตรา 4 ที่ระบุให้ รมว.คลัง รักษาการตาม พ.ร.บ.นี้ สส.ปชป. บางส่วนได้แปรญัตติแก้ไขเป็น ให้ “นายกรัฐมนตรี” หรือ “นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง” เข้ามาเป็นผู้รักษาการตาม พ.ร.บ.นี้
อีกมาตราที่สมาชิกให้ความสนใจแปรญัตติกันมากเป็นพิเศษ คือ มาตรา 5 ที่ถือเป็นหัวใจของ พ.ร.บ.นี้ คือ “ให้อำนาจกระทรวงการคลังโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี มีอำนาจกู้เงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อ นำไปใช้จ่ายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ ทั้งนี้ ตามยุทธศาสตร์และแผนงานและภายในวงเงินที่กำหนดไว้ในบัญชีท้าย พ.ร.บ.นี้
การกู้เงินตามวรรคหนึ่งให้มีมูลค่ารวมกันไม่เกินสองล้านล้านบาท และให้กระทำได้ภายในกำหนดเวลาไม่เกินวันที่ 31 ธ.ค. 2563”
โดยเฉพาะวรรคสอง ที่หลายคนเสนอแปรญัตติปรับลดงบจาก 2 ล้านล้านบาท ภายในกรอบ 31 ธ.ค. 2563 อาทิ อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี สส.กทม. ปรับลดไม่เกิน 2 แสนล้านบาท ไม่เกินวันที่ 31 ธ.ค. 2563 อนุชา บูรพชัยศรี สส.กทม. ปรับลดไม่เกิน 5.2 แสนล้านบาท ไม่เกินวันที่ 31 ธ.ค. 2559
ขณะที่ สส.บางคนแปรญัตติเพื่อตีกรอบการใช้เงิน อย่าง สรรเสริญ สมะลาภา สส.บัญชีรายชื่อ แปรญัตติวรรค 1 ด้วยการเพิ่มเติม “โดยการนำไปใช้จ่ายนั้นให้บรรจุไว้ใน พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี” คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช สส.บัญชีรายชื่อ แปรเพิ่มเติมว่า “ให้คณะรัฐมนตรีเสนอแผนงาน ยุทธศาสตร์ และกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ตาม พ.ร.บ.นี้ต่อรัฐสภาเพื่อเห็นชอบก่อนเริ่มดำเนินการ”
ขณะที่ มาตรา 6 เรื่องการนำเงินไปใช้ที่กำหนดให้เงินที่ได้จากมาตรา 5 ให้นำไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ในการกู้ โดยไม่ต้องส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ และกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง อรรถวิชช์ และ สรรเสริญ แปรญัตติระบุให้นำเงินได้ดังกล่าวต้องนำส่งคลังตามกฎหมายฯ และให้ตัดวรรค “นำไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ในการกู้”
อีกประเด็นคือ “กระทรวงการคลังอาจนำเงินที่ได้จากการกู้ไปให้กู้ต่อแก่หน่วยงานของรัฐเพื่อ ให้นำไปใช้จ่ายในการพัฒนาโครงการพื้นฐานด้านคมนาคม ต้องเป็นการใช้จ่ายเพื่อดำเนินการยุทธศาสตร์ แผนงานที่กำหนดไว้ในบัญชีท้าย พ.ร.บ.นี้” โดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ ชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ แปรญัตติให้เพิ่มเติม “และเอกสารประกอบการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นี้เท่านั้น”
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน
