จาก โพสต์ทูเดย์
โดย...ธรรมสถิตย์ ผลแก้ว
“เป็นโอกาสเดียว และโอกาสสุดท้าย ที่เราจะทำเพื่อลูกหลานของเราในอนาคต”
คำปราศรัย ปลุกใจที่ได้ยินทุกค่ำคืน ผ่านแกนนำมวลมหาประชาชนโค่นล้มระบอบทักษิณ จนจดจำขึ้นใจ
นี่อาจเป็น "โอกาสเดียวและโอกาสสุดท้าย" ตามที่แกนนำหลายต่อหลายคนพยายามสื่อสารตรงนี้ออกไปจริงๆก็ได้
เพราะไม่ว่าระบอบทักษิณจะถูกโค่นล้มหมดสิ้นแผ่นดินไทย หรือ ยังคงดำรงอยู่ด้วยการแอบเข้าสิงร่างนักการเมืองรายอื่นจ้องโกงชาติกินเมืองในอนาคต ก็ไม่รู้เหมือนกัน จะเกิดการชุมนุมที่มีมวลมหาประชาชนออกมามากมายเหมือนวันที่ 24 พ.ย. จนฉีกประวัติศาสตร์การชุมนุมทางการเมืองกระทั่งสืบเนื่องมาถึงวันนี้ได้อีกหรือไม่
จึงเป็นโอกาสเดียวและโอกาสสุดท้ายหรือไม่ ที่มีประชาชนคนไทยทั่วทุกหัวระแหงแสดงความเป็น “ไทยตื่น” พร้อมใจกันคาดหัวด้วยผืนผ้าลายธงชาติ แขวนนกหวีดเป่าปรี๊ดๆๆ ถือขวดน้ำ พกข้าวห่อ โพสต์ข้อความผ่านระบบโซเชี่ยลมีเดีย ตรวจสอบรัฐบาลทรราชย์ -นิติบัญญัติฉ้อฉล กันอย่างกว้างขวาง
จากนักรบหน้าจอ ทำหน้าที่ตรวจสอบนักการเมือง แปลงสภาพ เป็นพลังประชาชนตัวเป็นๆ ออกมาเดินเต็มท้องถนน เพื่อแสดงเจตจำนงค์ไม่เอาร่างกฎหมายนิรโทษกรรมให้คนโกงชาติกินแผ่นดินได้พ้นความผิด ยกระดับสู่การขับไล่รัฐบาล-นิติบัญญัติไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ต่อปรากฎการณ์ชุมนุมทางการเมืองครั้งนี้ ที่บอกได้ว่า "นี่เป็นโอกาสเดียวหรือเปล่า" เมื่อได้เห็นการชุมนุมอย่างสงบ สันติ อหิงสา ด้วยการเคลื่อนไหวไปตามสถานที่ราชการมอบดอกไม้เป็นกำลังใจ โดยมีพี่น้องข้าราชการเปิดประตูอ้าแขนรับผู้ชุมนุมแต่โดยดี ไม่มีภาพของการบุกรุก ทุบร่างกายทำลายทรัพย์สิน หรือแม้แต่ลอบวางเพลิงห้างสรรพสินค้าชื่อดัง เหมือนการชุมนุมบางกลุ่มในอดีต
มีการกระจายเวทีราวกับแตกไลน์ขยายสาขาห้างสรรพสินค้า จากเวทีราชดำเนิน ไปยังกระทรวงการคลัง ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ เพิ่มเวทีย่อยไปถึงต่างจังหวัด ต่อสัญญาณถ่ายทอดสด รับฟังการปราศรัยไปในทิศทางเดียวกัน โดยแต่ละวันมีผู้มาอุดหนุนช็อบปิ้งข้อมูลความรู้ ชนิดเติมเต็มทุกเวทีอย่างต่อเนื่อง
ไม่เพียงแต่ประชาชนทุกเพศวัย ยังมีนักวิชาการ นิสิตนักศึกษา ข้าราชการ กรรมกร รัฐวิสาหกิจ ศิลปินดารา ออกมาแสดงความคิดความอ่าน บนเวทีกลางถนนอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน กลายเป็นเวทีเปิดกว้างให้มวลมหาประชาชนอย่างแท้จริง หาใช่เวทีชี้นำของกลุ่มนักการเมืองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือเวทีผูกขาดของผู้อ้างตนเป็นนักประชาธิปไตยแต่เบื้องหลังเป็นแกนนำรับจ้างหากินซากศพเพื่อหวังชิงอำนาจรัฐแต่ประการใด
จริงอยู่แม้เกิดเหตุกระทบกระทั่งระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนเห็นภาพแก๊สน้ำตาฟุ้งกระจาย เสียงปืนดังลั่นบริเวณรอบทำเนียบรัฐบาล กองบัญชาการตำรวจนครบาล จนทำให้ "ผู้มองโลกสวย"อกสั่นขวัญผวามองว่าประเทศไทยกำลังเข้าสู่สงครามกลางเมือง
แต่แล้วการปะทะกันไม่กี่วันทั้งสองฝ่ายออกมาจับมือ โอบกอดหอมแก้ม “รักกันรักกัน”
ไม่เพียงแต่สร้างความงุนงงให้ผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่คอยรักษาการสถานที่ราชการ ยังสร้างความงุนงงในสายตาต่างประเทศที่ผ่านประสบการณ์ทำข่าวการชุมนุมทางการเมือง เพราะเหตุการณ์ชุมนุมการเมืองมักพัฒนาไปถึงการจลาจล เผาเมือง ปล้นฆ่า ล้างเผ่าพันธุ์ หรือมองใกล้ๆอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับการชุมนุมคนเสื้อแดงปี 53 ที่มีการสร้างฐานทัพกลางเมือง ณ สวนลุมพินี ระดมยาง ไม้ไผ่ เป็นป้อมปราการ ซ่องสุมกำลังอาวุธ ระเบิดขวด เอ็ม 79 พร้อมสู้รบ
แต่สำหรับปฏิบัติการมวลมหาประชาชนกลับต่อสู้ด้วยมือเปล่า สู้กระทั่งเหลือแต่กางเกงในตัวเดียว ยังหาญกล้าเข้าประจันหน้า พลิกแพลงหาเครื่องมือสยบอาวุธเจ้าหน้าที่ด้วยภูมิปัญญาชาวบ้านชนิดที่สื่อต่างชาติหรือแม้แต่ผู้ติดตามการชุมนุมอึ้งทึ่งตะลึงต่อนวัตกรรมใหม่ที่เกิดขึ้น
ไม่ว่าเป็น กระสอบป่านชุบน้ำดับแก๊สน้ำตา หน้ากากขวดน้ำกันแก๊สน้ำตา ตามมาด้วยแสลนท์สูงคอยดักจับการเขวี้ยงแก๊สน้ำตาระยะสูง ลูกโป่งสกัดเฮลิคอปเตอร์ พร้อมใช้เครื่องทุ่นแรงด้วยรถแทรกเตอร์ทลายกำแพงเบอร์ลินชะเอ้ย! แท่งแบริเออร์กลางสะพาน
ทุกสายตาประเมินว่า สถานการณ์แบบนี้กำลังเข้าสู่สงครามกลางเมือง ที่ผู้คนเข้าห่ำหั่นอย่างไม่คิดถึงชีวิต ประกาศอยู่กันคนระบอบ ก็ต้องอดอมยิ้มไม่ได้ เมื่อเข็มนาฬิกาชี้หกโมงเย็นปรากฎภาพ ผู้ชุมนุม และเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนตรงเคารพเพลงชาติ เสียงปืนเงียบสงบ ไม่มีแก๊สน้ำตาลอยละลิ่วสักกระป๋อง เกิดภาพสองฝ่ายร้องเพลงชาติร่วมกัน หรือแม้แต่ ใกล้ถึงวันสำคัญของปวงชนชาวไทย สองฝ่ายจับไม้กวาดแทนจับปืน ร่วมกันบิ๊กคลีนนิ่งรอบสมรภูมิรบ ประกาศพักรบโดยอัตโนมัติเพื่อรอวันประลองกำลังกันใหม่
"สื่อต่างประเทศที่ติดตามยังยอมรับไม่เคยพบการเคลื่อนมวลชนแบบนี้ กว่าหนึ่งเดือนพวกเขาเดินไปเดินมา เป่านกหวีด เข้ายึดสถานที่ราชการ มีปะทะกับเจ้าหน้าที่แต่แล้วได้จับมือหอมแก้ม แบ่งปันขนมให้กันก่อนถ่ายรูปอัพลงเฟซบุ๊ก ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตามข้อตกลงเพียงเพื่อเขาเข้าไปทำสัญลักษณ์ตามสถานที่ราชการ จากนั้นเคลื่อนย้ายมวลประชาชนออกตามกำหนด โดยความหมายนั่นคือชัยชนะ สงบ สันติ อหิงสา"
"นี่จึงเป็นอะเมซิ่งการชุมนุมซึ่งอาจมีที่นี่แห่งเดียว" Thailand Only!!
*****************
ท่ามกลางมวลมหาตื่นตะลึง เราอาจงุนงงอยู่บ้างว่า ในสถานการณ์ปะทะ กลับปรากฎรัฐมนตรีที่ดูแลความสงบของบ้านเมือง มีรัฐมนตรีกำกับดูแลสถาบันการศึกษาขึ้นเวทีปราศรัยมวลชนให้เกลียดชังฝ่ายตรงกันข้าม ทั้งที่เวทีข้างๆเกิดเหตุรุนแรงจนมีนักศึกษาเสียชีวิต แต่ผู้ปกครองดูแลบ้านเมืองไม่ได้เหลียวแล
แม้แต่ช่วงที่ประชาชนกำลังฝ่าดงแก๊สน้ำตาเกิดความบาดเจ็บนับร้อย อีกด้านนายกฯของประเทศนี้ มอบเงินล้านเป็นรางวัลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ระดมยิงแก๊สน้ำตาใส่ประชาชน แล้วก็จบด้วยคำแถลงข้อให้ประชาชนอย่าสร้างความรุนแรง
หรือในขณะที่ประชาชนกำลังทำความเข้าใจ "สภาประชาชน" แต่รัฐบาลก็ยังแสร้งงุนงง โดยไม่เปิดใจรับรู้ผ่านแกนนำและบรรดานักกฎหมายที่กำลังออกมาสร้างความกระจ่าง
ไม่ว่าจะทราบหรือทำตัวไม่ทราบโมเดลสภาประชาชนเป็นอย่างไร ก็ปรากฎว่าหลายฝ่ายเสนอทางออก เช่น กองทัพ มวลมหานักวิชาการ ภาคเอกชน เสนอแนวทางต่างๆ จะด้วยการยุบสภา- ลาออก ทำสัตยาบันเป็นนักการเมืองอยู่ในกรอบกติกาไม่แสวงหาประโยชน์เพื่อคนใดคนหนึ่ง หรือให้ร่วมกันพิจารณาจากมาตราในรัฐธรรมนูญเพื่อรองรับสภาประชาชน
ทว่า ฝ่ายเดียว คือ รัฐบาล ที่ยังมองว่าข้อเสนอเหล่านี้ไม่ใช่ทางออก พยายามงัดเหตุผลหักล้างแนวทางกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ไม่มีรัฐธรรมนูญรองรับบ้าง กลับใช้วิธีตั้งเวทีระดมความคิดเห็นตามสูตรสำเร็จออกไปอีก 2-3 เดือน นั่นหมายความว่าเป็นการซื้อเวลาต่อไป
จึงเกิดอาการมึนๆงงๆ ก่อนหน้านั้นรัฐบาล พรรคเพื่อไทย ยืนกรานไม่เคารพอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ อ้างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาจากซากเผด็จการ แต่วันนี้หลังพิงรัฐธรรมนูญฉบับที่ตนเองกล่าวหาเป็นเผด็จการมาโจมตีฝ่ายที่เสนอทางออกว่าไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ เรียกได้ว่าทำเอาผู้คนมึนหลายตลบ
ทั้งที่ทุกฝ่ายเสนอทางออกเรียบร้อย แต่ทำไมรัฐบาลถึงไม่มีทางออก ไม่ใช่หาทางออกไม่เจอ แต่กลับขวางอยู่บริเวณทางออกนั่นเอง
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน