จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
กาแฟดำ
ต่างกรรมต่างวาระ แต่คำประกาศของ ออง ซาน ซูจี ว่า พรรคของเธออาจจะ “คว่ำบาตร” (boycott)
การเลือกตั้งทั่วไปของพม่าในอีกปีเศษๆ เป็นประเด็นร้อนของการเมืองภูมิภาค ที่คนไทยต้องติดตามและศึกษาเป็นบทเรียนสำหรับประเทศไทยอย่างยิ่ง
เพราะว่าการเมืองกัมพูชา สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และแม้แต่เวียดนาม ก็กำลังเข้าสู่ช่วง “เปลี่ยนผ่าน” ที่ต้องมีการ “ปฏิรูป” อย่างมีนัยสำคัญต่อความเป็นไปของภูมิภาคนี้
พม่า เปิดประเทศแล้ว ประกาศว่าจะเดินเข้าสู่เส้นทางประชาธิปไตยอย่างเต็มรูปแบบ แต่ยังมีรายละเอียดที่จะต้องลงมือทำกันอีกมาก จึงจะได้ชื่อว่าเป็นสังคมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ออง ซาน ซูจี เรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหลายประเด็น ที่ยังไม่เป็นไปในแนวทางปฏิรูปอย่างแท้จริง รวมถึงมาตราที่ระบุว่าใครมีสามีหรือภรรยาเป็นต่างชาติไม่มีสิทธิเป็นประธานาธิบดีของประเทศ
และอีกหลายข้อในกติกาบ้านเมือง ที่ยังให้อำนาจทหารทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งขัดกับหลักการประชาธิปไตยที่ควรจะเป็น
รวมถึงข้อเท็จจริงวันนี้ที่ว่าทหารมีที่นั่งในสภา 25% ขณะที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องใช้เสียงข้างมากไม่น้อยกว่า 75% นั่นย่อมแปลว่า หากทหารไม่เอาด้วย การ “ปฏิรูปการเมือง” ของพม่าก็แท้งตั้งแต่ก่อนเกิดด้วยซ้ำไป
เธอจึงประกาศชัดแจ้งว่า
“One should not take part in a competition which was arranged to give one side an unfair advantage.”
แปลว่า “ใครก็ไม่ควรจะเข้าสู่การแข่งขัน ที่จัดแจงให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เปรียบ อย่างไม่เป็นธรรม”
เป็นประโยคในคำปราศรัยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาต่อหน้าประชาชน กว่า 30,000 คน ที่เมืองทายาวดี ห่างจากย่างกุ้งไปทางเหนือประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
ข้อความนี้ถูกนำโพสต์ขึ้นใน Facebook ของพรรค NLD ของเธอ และสื่อมวลชนพม่าก็นำมาอ้างอิงอย่างกว้างขวาง เพราะเป็นการแสดงจุดยืนในเรื่องนี้ชัดเจนที่สุด ตั้งแต่เธอแสดงเจตนารมณ์ที่จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้นำประเทศคนต่อไปในปี 2015
ผู้นำทหารยังไม่ได้ตอบสนองต่อเสียงเรียกร้องเรื่อง “ปฏิรูปรัฐธรรมนูญ” อย่างเป็นรูปธรรม เรียกว่ายัง “แทงกั๊ก” อยู่พอสมควร แม้ว่าประธานสภาฉ่วย มาน ซึ่งเป็นอดีตนายทหารคนสำคัญ จะได้ให้สัมภาษณ์หลายครั้งหลายหนว่าเขาเห็นด้วยกับ ออง ซาน ซูจี ในหลายประเด็น
ออง ซาน ซูจี บอกด้วยว่า “นักการเมืองที่มีความรู้ดีรู้ชั่วทางศีลธรรม ไม่ควรจะเข้าร่วมการหย่อนบัตรเลือกตั้ง” หากยังไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับหลักการแห่งประชาธิปไตย โฆษกพรรคของเธอบอกว่า ยังไม่มีมติอย่างเป็นทางการว่าพรรค “สันนิบาตเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติ” จะลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่
ถามใครในพม่าวันนี้ ก็จะตอบเกือบจะตรงกันว่า หากมีการเลือกตั้งในปี 2015 และการจัดการหย่อนบัตรเป็นไปอย่างถูกต้องโปร่งใส พรรคของ ออง ซาน ซูจี ก็จะชนะเลือกตั้งอย่างค่อนข้างแน่นอน นั่นย่อมแปลว่า เธอจะมีคะแนนเสียงมากพอที่จะเป็นประธานาธิบดีต่อจากนายพลเต็งเส่งคนปัจจุบัน
แต่หากไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อน เธอก็ไม่อาจจะดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ ตามความต้องการของประชาชนคนพม่าได้
เพียงแค่ ออง ซาน ซูจี แสดงจุดอ่อนเช่นนี้ ก็อาจจะมีผลทางลบต่อกระบวนการ “เปลี่ยนประเทศ” ของพม่า เพราะว่าหากหลายๆ ประเทศที่สนับสนุนให้พม่าก้าวเดินสู่สังคมประชาธิปไตย เห็นว่า พรรคฝ่ายค้านวันนี้ไม่ประสงค์จะร่วมกระบวนการเลือกตั้ง เพราะกติกาไม่เป็นธรรมแล้วไซร้ ก้าวย่างต่อไปของพม่าก็จะมีปัญหาอย่างปฏิเสธไม่ได้
ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมเสียงเรียกร้องให้มีการ “ปฏิรูปก่อนหย่อนบัตร” จึงดังกระหึ่มในหลายๆ ประเทศอย่างที่เห็นกันในวันนี้
แน่นอนว่า ประชาธิปไตยต้องมีการ “เลือกตั้ง” เป็นส่วนสำคัญของกระบวนการนี้ แต่หากกติกาบ้านเมืองไม่โปร่งใส ไม่เป็นธรรม การหย่อนบัตรก็เป็นเพียง “พิธีกรรม” ที่เอื้อต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น
“ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” จึงเป็นหัวใจของการสร้างศรัทธาประชาชนต่อระบอบประชาธิปไตย ที่ยั่งยืนและสะท้อนความต้องการของประชาชน...ที่แท้จริง
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน
