ผมไม่ต้องการ...สงครามกลางเมือง
โดย : เสถียร วิริยะพรรณพงศา, สมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์ สำนักข่าวเนชั่น
จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
เปิดใจลุงกำนันสุเทพ..."ผมไม่ต้องการ...สงครามกลางเมือง ไม่ต้องการให้ทหารปฏิวัติ ต้องการปฏิวัติโดยประชาชน"
สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ให้สัมภาษณ์เปิดใจสื่อ "เครือเนชั่น" ถึงการต่อสู้ของ กปปส. ซึ่งเขาบอกว่า วันนี้ถือว่าการต่อสู้ของประชาชนสำเร็จแล้ว เพราะประชาชนตื่นตัวแล้ว
พร้อมย้ำว่าจะต่อสู้อย่างสันติ อหิงสา ต้องรักษาชีวิตประชาชนเป็นสำคัญ หากมีสถานการณ์ที่อาจจะบานปลายเป็นสงครามกลางเมือง เขาจะยอมแพ้ และบอกให้ประชาชนกลับบ้านทันที
O ตอนเริ่มต้นคิดหรือไม่ว่าการต่อสู้จะยาวนานขนาดนี้?
ทั้งคิดและไม่ได้คิด คือ ผมเห็นเหตุการณ์มา 2-3 ปีแล้วว่า ถ้าประเทศไทยยังอยู่ภายใต้ระบอบทักษิณจะวิบัติ หายนะแน่นอน จึงรวบรวมสมัครพรรคพวกเตรียมสู้กับระบอบทักษิณ ด้วยการทำทีวีดาวเทียม (บลูสกายแชนแนล) และเปิดเวทีผ่าความจริงไปทั่วประเทศทุกวันเสาร์ เพื่อจะบอกเล่าความจริงให้ประชาชนได้รับรู้รับทราบว่าระบอบทักษิณมีพฤติกรรมอย่างไร ทำลายชาติบ้านเมืองอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องการทุจริตที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง การเอาอำนาจที่ประชาชนมอบให้ไปใช้ตามอำเภอใจ เป็นการปูพื้นฐานให้ประชาชนทราบ รวมไปถึงการทุจริตซื้อเสียงที่เป็นต้นเหตุของอันตรายทั้งปวง
ตอนนั้นก็คิดว่าการต่อสู้กับระบอบทักษิณคงต้องใช้เวลา แต่ตอนนั้นก็คิดว่าสถานการณ์ที่ประชาชนทนไม่ไหวคงจะอยู่ประมาณกลางปี 2557 โดยเฉพาะเรื่องทุจริตโครงการจำนำข้าวที่เป็นการทุจริตรายการใหญ่มาก ประชาชนตื่นตัว พ่อค้านักธุรกิจก็ทนไม่ไหว เพราะโครงการนี้มีการทุจริตทุกขั้นตอน แต่ปรากฏว่าเรื่องข้าวยังไม่ทันระเบิด ก็มีเรื่องการใช้อำนาจในทางนิติบัญญัติโดยไม่เคารพกฎหมาย ไม่เคารพหลักนิติธรรม คือรัฐบาลเหิมเกริมมาก ลืมตัว เชื่อมั่นในอิทธิฤทธิ์อิทธิพลของตัวเองที่ครอบงำไว้แล้วทุกวงการ คิดว่าทำอะไรก็ได้ จึงมีขบวนการที่จะออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อล้างผิดให้กับทักษิณ (อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร)
O ก่อนหน้านั้นคุณสุเทพมีความสัมพันธ์กับคุณทักษิณ ระดับไหน?
ตอนคุณทักษิณตั้งพรรคใหม่ๆ ก็พยายามชวนผมไปอยู่ด้วย ตอนเป็นนายกฯก็พยายามแวะเวียนมาชวนผม ซึ่งตอนนั้นผมก็บอกว่าเรามีอุดมการณ์คนละอย่าง ผมรู้จักทักษิณพอสมควรและรู้ว่าเขาเป็นนักธุรกิจที่รวยเพราะการผูกขาด และเขาเชื่อในการผูกขาด พอมาทำการเมืองเขาก็อยากทำการเมืองแบบผูกขาด เขาเคยยกตัวอย่างให้ผมฟังว่า อยากเห็นประเทศไทยอย่างน้อยก็เป็นแบบสิงคโปร์ คือ มีฝ่ายรัฐบาลที่มีเสียงข้างมากเด็ดขาด มีฝ่ายค้านเหลือเป็นไม้ประดับสัก 2-3 คน
สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งคือ ทฤษฎีในการพัฒนาของเขา คือ เขาต้องการให้คนเป็นหนี้มากๆ เขาอ้างว่าถ้าคนเป็นหนี้มากๆจะมีแรงผลักดันให้ทำงานหนักขึ้น นั่นจะเป็นตัวช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งผมมองว่า อย่างนี้ไม่มีคุณธรรม เพราะรัฐบาลไปยุยงให้ประชาชนสร้างหนี้มากๆ เพื่อทำงานหนัก ผมมองว่ารัฐบาลไปการทำลายความสุขสงบของประชาชน ทักษิณไม่เชื่อเรื่องพอเพียงโดยเด็ดขาด
O มีข่าวว่าก่อนจะมีการเคลื่อนไหวแรงๆ มีการต่อสายคุยกับคุณทักษิณ?
มีครับ ตอนพวกเราเริ่มเคลื่อนไหวคุณทักษิณก็ใช้วิธีการเดิม คือการเจรจา ซึ่งเรื่องคุณทักษิณเจรจากับผม ผมเข็ดไปนานแล้ว ตั้งแต่ปี 2549 ตอนที่คุณทักษิณยุบสภาหนีกรณีที่ไปขายหุ้นให้เทมาเสกแล้วไม่จ่ายภาษี พอฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายและประชาชนออกมาต่อต้าน คุณทักษิณก็ยุบสภา และเอาเปรียบคนอื่นด้วยการให้มีการเลือกตั้งแบบเอาเปรียบคนอื่น คือเลือกตั้งภายใน 28 วัน ปรากฏว่าฝ่ายค้านก็ประกาศไม่ลงเลือกตั้ง ตอนแรกคุณทักษิณก็ดีใจ แต่ตอนหลังรู้ว่ามีปัญหาจึงขอนัดเจรจากับผม ผมก็บอกว่าได้ แต่ขอคุยสองคน ไม่อยากคุยกับคนรอบข้าง
คุณทักษิณก็นัดให้ผมไปที่บ้านพิษณุโลก ผมก็อธิบายให้ฟังว่าการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไรหากฝ่ายค้านไม่ลง เขาก็ตกใจและขอให้ผมช่วยคิด ผมบอกว่ามีอย่างเดียวทักษิณต้องยอมปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปประเทศ ต้องให้สัตยาบันร่วมกับฝ่ายค้าน ให้เชิญพรรคฝ่ายค้านมาหารือ แล้วประกาศทำสัตยาบันร่วมกัน คุณทักษิณก็เชื่อผม ให้ผมไปทำหนังสือมาฉบับหนึ่ง ผมก็ทำหนังสือให้ผู้แทนไปยื่นตอนค่ำ แต่พอรุ่งขึ้นคุณทักษิณก็เบี้ยว หลังจากกลับไปคุยกับคนรอบข้าง ไม่มีการนัดหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านไปคุย แต่ไปเรียกพรรคเล็กๆมาคุยและออกแถลงการณ์ร่วมกัน เดินหน้าการเลือกตั้ง
หลังจากนั้นพอเจอทางตัน ก็มาขอผมอีกให้ช่วย ครั้งสุดท้ายได้คุณทักษิณได้ทำสิ่งที่ผมไม่สามารถจะรับได้อีกต่อไป คือ นัดกันว่าจะเข้าพบบุคคลระดับสูง แต่พอถึงเวลาคุณทักษิณไม่ไป จะให้ฝ่ายอภิสิทธิ์ซึ่งเป็นฝ่ายค้านไปฝ่ายเดียว เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดสำหรับผม
ผมบอกว่า ต่อไปนี้ผมไม่ช่วยคุณทักษิณแล้วนะ คุณทักษิณเป็นคนที่คิดเอาแต่ได้ เมื่อไหร่ที่ตัวเองจะได้เปรียบ ไม่ยอมเลย ทำตามอำเภอใจ แต่พอเห็นว่าไปไม่รอดแล้ว อะไรก็ยอมทั้งนั้น มาเจรจาแล้วก็ไม่รักษาคำพูด ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผมก็ไม่ได้คุยกันตัวต่อตัว แต่พอมีเหตุทีคุณทักษิณก็จะให้คนโน้นคนนี้มาเจรจา ตอนนี้ไม่มีแล้ว แต่ว่าผมสังเกตเห็นว่าคุณทักษิณก็ดำเนินการผ่านผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้หลักผู้ใหญ่ก็มาถามผมว่าอย่างนั้นได้ไหม อย่างนี้ได้ไหม แต่ท่านไม่ได้บอกว่ามาในฐานะตัวแทนคุณทักษิณ แต่ก่อนหน้าที่ผมจะประกาศออกมาต่อสู้นอกสภา มีการพยายามมาเจรจา
O ข้อกล่าวหาว่าสุเทพจับมือกับทหารสร้างสถานการณ์ แล้วเปิดทางให้อำนาจนอกระบบเข้ามา?
เป็นข้อกล่าวหามาหลายปี เมื่อวันที่ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับเลือกเป็นนายกฯ วันนั้นก็เริ่มมีเสียงกล่าวหาว่าผมจับมือกับทหาร ทั้งที่จริงแล้วเป็นเรื่องของพรรคการเมืองที่คุยกันเรียบร้อยแล้วว่าคะแนนเสียงที่จะสนับสนุนคุณอภิสิทธิ์มีเพียงพอ แต่มีผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคการเมืองอื่นไม่แน่ใจว่าทหารจะคิดอย่างไร ผมก็บอกว่าง่าย นัดเจอเลย แล้วเราก็บอกว่าเราจะตั้งรัฐบาลแบบนี้ ทหารจะฟังคำสั่งเราไหม จะร่วมมือกับเราไหม จึงนัดกันไป ทหารก็บอกว่าเขาเป็นข้าราชการ ใครมาเป็นรัฐบาลเขาก็ยินดีรับฟังคำสั่ง และถ้ารัฐบาลทำดีเขาก็สบายใจ ก็มีแค่นี้ แต่ก็มีการไปสร้างเป็นวาทกรรม ว่าตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร จริงๆตกลงกันเรียบร้อยแล้ว และเพื่อให้หัวหน้าพรรคการเมืองบางพรรคสบายใจว่าตั้งแล้วอยู่ได้
O มีข่าวว่างานนี้คุณสุเทพก็มีกุนซือสำคัญๆ เป็นทหาร?
พวกนี้เขาคิดกันเอง ถ้าคุณมาอยู่ใกล้ชิดกับผมจะเห็นว่าผมนั่งทำงานคนเดียว พอคิดเสร็จก็นัดคณะกรรมการ กปปส.มาคุยกัน มาเล่าว่าผมคิดอย่างนี้พวกคุณคิดอย่างไร เป็นการตั้งสมมติฐานขึ้นมาก่อน บางเรื่องผมก็ต้องปรับตามเสียงส่วนใหญ่
O แต่ประวัติศาสตร์การเคลื่อนเพื่อเปลี่ยนแปลงการเมืองไม่เคยจบด้วยพลังของมวลชน ต้องมีทหารเป็นไม้สุดท้าย?
คนก็คิดกันในเรื่องที่ไม่เคยเกิด และคิดว่าเกิดไม่ได้ สำหรับผม ผมคิดว่าการทำครั้งนี้สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นได้ด้วยพลังของมวลชน แต่มวลชนต้องมีจำนวนมากพอ ตอนแรกเราบอกจะให้มีคน 3 แสน คนก็หัวเราะ พอล้านๆคน ก็หัวเราะ คิดว่าเป็นครั้งสุดท้าย
O การเปลี่ยนแปลงต้องมีกองทัพ มีกำลังอาวุธหรือไม่?
ไม่ ผมไม่เชื่อเรื่องความรุนแรง ผมเห็นแล้วว่าคนของระบอบทักษิณพยายามจะใช้ความรุนแรง เมื่อปี 2552-2553 เขาประกาศจะยึดอำนาจรัฐด้วยอาวุธ จะสร้างสงครามกลางเมือง จะเอากองกำลังเข้ามายึดอำนาจ แต่ทำไม่สำเร็จ เพราะประชาชนไม่เอา ประชาชนไม่ต้องการความรุนแรง ไม่ใช่ไม่มีหัวใจต่อสู้ มีหัวใจต่อสู้ แต่ไม่ต้องการความรุนแรง ไม่ต้องการให้ใครเสียชีวิต เสียเลือดเนื้อ และผมคิดว่าเมื่อพวกเราได้ประกาศแนวทางต่อสู้อย่างสันติ ปราศจากอาวุธ ด้วยอหิงสา ตรงนี้เป็นเสน่ห์ของการต่อสู้ในคราวนี้ ทำให้พี่น้องประชาชนมีความสบายใจที่เข้าร่วมการต่อสู้ เพราะไม่ต้องการมาเข่นฆ่าใคร มาทำลายใคร มวลชนจึงได้มากขึ้น
O มีการมองว่าปฏิบัติการชัตดาวน์กรุงเทพฯ เป็นปฏิบัติการที่รุนแรง อาจจะดึงทหารให้เข้ามา?
เราต้องคิดให้พ้นทหาร เอะก็คิดถึงทหารอยู่เรื่อย ที่ผมคิดเรื่องชัตดาวน์หรือปิดกรุงเทพฯนี้ เพราะผมคิดว่าเป็นการกระทำอารยะขัดขืนขั้นสำคัญ คือ ทำให้เมืองหลวงไม่สามารถบริหารราชการได้ กระทรวง ทบวง กรม ทั้งหลายถูกปิด ข้าราชการมาทำงานไม่ได้ รัฐบาลก็จะกลายเป็นรัฐบาลที่ล้มเหลว เป็น failed government ไม่ใช่ failed state คือ ประเทศไทย รัฐไทยยังดีอยู่ แต่รัฐบาลล้มเหลว ไม่สามารถสั่งราชการได้ ระบบราชการก็ไม่เป็นประโยชน์กับระบอบทักษิณ
อย่างนี้จะนำไปสู่การตัดสินใจของข้าราชการ ถ้ามวลมหาประชาชนออกมาหมด ข้าราชการไม่ว่าจะเป็นพลเรือน ตำรวจ ทหาร ก็ต้องตัดสินใจ ผมมองทหารในแง่เป็นข้าราชการ เพียงแต่เป็นข้าราชการจำนวนมาก และมีการจัดระเบียบ ที่จริงที่สำคัญคือพลเรือนด้วยซ้ำไป พอกระทรวงสาธารณสุขประกาศว่าจะเข้าร่วมต่อสู้ ผมจึงบอกว่าชัยชนะก็ใกล้เข้ามา
O แต่อีกด้านก็ไปกระตุ้นให้คนที่เห็นต่าง เช่นเสื้อแดงออกมา เสี่ยงให้เกิดการปะทะ?
ผมไม่ปะทะด้วย ผมได้นัดหมายประชาชนแล้วว่าจะแจกบทสวดอิติปิโสฯ ใครจะเข้ามาทำอะไรเราก็นั่งสวดมนต์ เราไม่ปะทะด้วย เราสู้ด้วยสันติ คนที่มาก็จะเสียหายเอง เพราะยิ่งมาทำความรุนแรง ประชาชนก็รู้ว่าไม่ใช่มือที่สาม แต่เป็นมือของรัฐบาล
O หลายคนวาดภาพไกลไปถึงสงครามกลางเมือง?
ผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ผมคิดว่าถ้าเป็นสงครามกลางเมือง ผมยอมแพ้ดีกว่า ชีวิตประชาชนมีค่า ผมไม่อยากเห็นคนไทยตาย ผมไม่อยากฆ่าตำรวจไทยสักนิด ผมยังยึดหลักการต่อสู้ด้วยสันติ และถ้าใครสร้างสถานการณ์จนอาจจะเกิดสงครามกลางเมือง ผมก็ชวนประชาชนกลับบ้าน การรักษาชีวิตประชาชนเป็นเรื่องใหญ่ ประชาชนต้องไม่บาดเจ็บล้มตาย ถ้าวันนี้แพ้ สิ่งเหล่านี้ก็อยู่ในใจอยู่ในสมองประชาชนแล้ว วันนี้ถือว่าสำเร็จแล้ว ประชาชนตื่นตัวแล้ว ถ้าแพ้ผมเชื่อว่าก็จะมีการสรุปบทเรียนว่าผมทำพลาดตรงไหน วันนี้ทำใจได้แล้ว ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ และไม่มีการกำหนดระยะเวลา
O ถ้าทหารออกมาปฏิวัติ จุดยืนของ กปปส.คืออะไร?
ผมไม่อยากพูดว่าถ้าเลย เพราะมันไปกระทบเขา แต่ผมได้ประกาศชัดเจนว่า เราไม่ต้องการให้ทหารออกมาปฏิวัติ เราต้องการปฏิวัติโดยประชาชน ปฏิวัติโดยสันติ ผมจึงได้พูดว่าให้พี่น้องเสื้อแดงมารวมกัน ถ้าคิดอยากเห็นประเทศชาติเจริญ อยากเห็นประชาธิปไตยโดยแท้จริง ผมต้องการอย่างนี้มากกว่า ทหารปฏิวัติก็เหนื่อยสำหรับสังคมเดี๋ยวนี้ นานาประเทศ สังคมข้างนอกก็คงรับไม่ค่อยได้ ทหารก็จะทำงานลำบาก แต่ถ้าข้าราชการไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ พลเรือน มาร่วมกับประชาชนมันจะเป็นการปฏิวัติโดยประชาชน นานาประเทศก็ไม่มีสิทธิเข้ามาวุ่นวายก้าวก่าย เพราะนี่เป็นเรื่องประชาชน นี่คือภาพที่ผมอยากเห็น
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน