สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

แดงทำได้แค่เสียวตลาดหุ้นเขียวยกแผง

สัญญาณทางเศรษฐกิจที่ออกมาถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีว่าในระยะ 3-4 เดือนข้างหน้า เศรษฐกิจไทยน่าจะพ้นปากเหวอย่างชัดเจน

จาก โพสต์ทูเดย์

โดย...ทีมข่าวการเงิน



ถือเป็นเรื่องกลับหัวกลับหาง...

เมื่อการขับเคลื่อนการชุมนุมคนเสื้อแดงครั้งนี้ทำให้หุ้นไทยกลายเป็นบวก

แม้แกนนำออกมาขู่ก่อนหน้านี้ว่าจะพาคนมา “1 ล้านคน” และปิดกรุงเทพฯ ให้เป็น “อัมพาต”

และท่ามกลางข่าวว่าจะเกิด “วินาศกรรม” ในกรุงเทพฯ

เมื่อข้อเท็จจริงกลับกลายเป็นว่านักลงทุนต่างชาติกลายเป็นผู้ซื้อสุทธิ ต่อเนื่องติดต่อกัน 7 วัน เบ็ดเสร็จเม็ดเงินไหลเข้ารวมกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท!!!

เรียกได้ว่าฝรั่งไล่เก็บมาตั้งแต่ก่อนจะมีม็อบวันที่ 14 มี.ค.

ช่วงวันที่ 11-15 มี.ค. ซึ่งเป็นวันที่คนเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่และระดมพลจากต่างจังหวัดเข้ายึดถนน ราชดำเนิน

...ปรากฏว่าต่างชาติซื้อสุทธิถึง 3,603.01 ล้านบาท!!

อย่างไรก็ตาม จากการรวบรวมยอดซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติช่วงวันและเวลาดังกล่าว จะพบว่าโบรกเกอร์ต่างชาติที่ซื้อสุทธิมีประมาณ 5 เจ้าหลักๆ

บล.ซีเอส ซื้อสุทธิ 1,270.04 ล้านบาท บล.ซีแอลเอสเอ ซื้อสุทธิ 1,020.47 ล้านบาท บล.ยูบีเอส ซื้อสุทธิ 811.76 ล้านบาท

บล.เจ.พี.มอร์แกน ซื้อสุทธิ 711.08 ล้านบาท และ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ซื้อสุทธิ 383.78 ล้านบาท

นอกจากนี้ การเข้าซื้อของต่างชาติก็ยังผลักดันให้ดัชนีหุ้นไทยพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสามารถขึ้นมายืนเหนือในระดับแนวต้านสำคัญที่ 750 จุด ได้แล้ว

ขณะที่รายย่อย กองทุน และสถาบันในประเทศไทยด้วยกันเองกลับกลัวหัวหด เทขายออกมา เท่ากับว่าต่างชาติมั่นใจ แต่คนไทยขาสั่น...

แม้จะมีข่าวลือออกมาว่าต่างชาติที่เข้ามาซื้อเหล่านี้คือเครือข่ายธุรกิจ ของนักการเมือง “ในรัฐบาล”

แม้จะมีข่าวออกมาว่ากองทุนที่ไล่ซื้อหุ้นช่วงนี้เป็นกองทุนวายุภักษ์ ซึ่งอยู่ในอาณัติของกระทรวงการคลัง

โดยเฉพาะ นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ที่เป็นอดีตวาณิชธนากรชั้นเซียนแห่งเจ.พี.มอร์แกน ถือเป็น “คอนเนกชัน” ที่ รมว.คลัง สามารถดึงมาใช้ประโยชน์ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน

โดยแหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง ยอมรับว่าตามปกติเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่กระทบกับการซื้อขายหุ้น กระทรวงการคลังจะขอความร่วมมือโบรกเกอร์ในตลาดหลักทรัพย์ดูแลไม่ให้ตลาดมี ความผันผวนมาก

“คลังยังมีกองทุนวายุภักษ์ที่ช่วยในการดูแลซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อีก แรง เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลให้การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ยังยืนอยู่ในแดนบวกได้” แหล่งข่าวระบุ

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยโดยตลอด ซึ่งเท่าที่ได้คุยกับโบรกเกอร์ต่างชาติเห็นตรงกันว่าไม่ค่อยห่วงการเมืองมาก นัก

นับตั้งแต่เห็นตัวเลขเศรษฐกิจของไทยตั้งแต่ไตรมาส 4 ที่ผ่านมาออกมาดี รวมถึงดัชนีทางเศรษฐกิจอื่นทั้งการผลิต การบริโภคออกมาดี

ด้าน นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ขณะนี้ถือว่ายังโชคดีที่มีเงินไหลเข้าในตลาดหุ้น ดูได้จากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นผลจากค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าด้วย

“เป็นเรื่องน่าดีใจ สะท้อนได้ว่านักลงทุนต่างประเทศยังมั่นใจประเทศไทยอยู่” นายอภิศักดิ์ ระบุ

นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้สภาพคล่องในระบบได้เพิ่มขึ้นเป็น 1.8 ล้านล้านบาท ทำให้ไม่น่ากังวลเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ย เชื่อว่าจะเห็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยกลางปีขึ้นไป แต่ในฟากรัฐบาลคงไม่อยากเห็นดอกเบี้ยขึ้นในขณะนี้

แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง เปิดเผยว่า ช่วงนี้มีเงินไหลเข้าจากต่างประเทศจริง เพื่อเตรียมพร้อมเข้ามาซื้อหุ้น หากเข้ามาตอนนี้ก็ยังได้หุ้นราคาถูก จึงเห็นต่างชาติเข้าซื้อสุทธิสวนทางกับปัญหาการเมือง

สาเหตุที่ต่างชาติยังเข้าซื้อหุ้นสุทธิ สะท้อนความมั่นใจว่าประเทศไม่มีเหตุการณ์รุนแรง และที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยก็ตกลงมากแล้ว ฉะนั้นจึงมีการช้อนซื้อกลับ เพราะหากเทียบราคาหุ้นในภูมิภาคนี้ ราคาหุ้นของไทยยังจูงใจนักลงทุนต่างประเทศ

“ต่างประเทศยังเชื่อมั่นรัฐบาลชุดนี้ และเชื่อว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรง ช่วงนี้ยังน่าซื้อหุ้น” แหล่งข่าวเปิดเผย

เช่นเดียวกับ นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ที่มองว่าการชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองปัจจุบันได้ก้าวขึ้นไปสู่อีกระดับ หนึ่ง เป็นวิถีทางสันติวิธี จึงไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์

ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงถือว่าเป็นเหตุการณ์ปกติ เรียกว่าเป็นความเสี่ยงที่รับได้ และถ้าเทียบกับเหตุการณ์การชุมนุมที่ผ่านมาที่เกิดความเสียหายหนัก เศรษฐกิจก็ฟื้นกลับมาเป็นปกติได้ การท่องเที่ยวก็ฟื้นตัวเร็ว

ดังนั้น แม้การชุมนุมในขณะนี้จะไปถึงจุดที่เลวร้ายที่สุด ก็มั่นใจว่าจะเยียวยาเศรษฐกิจให้ฟื้นกลับมาได้โดยเร็ว

“ไทยยังถือว่ามีความน่าลงทุนในสายตานักลงทุนต่างประเทศ จะเห็นได้จากการจัดอันดับของสถาบันจัดอันดับต่างๆ จะให้อันดับไทยอยู่ในระดับที่น่าลงทุนอยู่ดี” นายสถิตย์ กล่าว

ไม่เพียงเท่านั้น ล่าสุด บริษัท เอเบลิ่ง เฮฟเฟอร์แนน อินเวสเมนท์ แมเนจเมนท์ อิงค์ จัดตั้งกองทุนที่ระดมเงินจากนักลงทุนทั่วเอเชียมาลงทุนในไทย วงเงินเบื้องต้น 500 ล้านเหรียญสหรัฐ

และอีก 1 ปี จะระดมเงินเพิ่มเป็น 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

โดยเฉพาะธุรกิจพลังงานทดแทน เวชภัณฑ์ใหม่ๆ ธุรกิจเชิงนวัตกรรมคือเป้าหมายสำคัญ

สัญญาณทางเศรษฐกิจที่ออกมาถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีว่าในระยะ 3-4 เดือนข้างหน้า เศรษฐกิจไทยน่าจะพ้นปากเหวอย่างชัดเจน

ขณะที่นักลงทุนสามารถแยกแยะการเมืองกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจออกจาก กันได้

จีดีพีปีนี้ไม่ขี้เหร่...ฟันธงงง!!

view