จาก โพสต์ทูเดย์
เมื่อรักไม่เป็นดั่งหวัง หญิงสาวหลายคนจึงรู้สึกจนตรอก เอาแต่โทษตัวเองว่าไร้ค่า ในที่สุดก็หันหน้าพึ่งพาไสยศาสตร์ด้วยการ 'ทำเสน่ห์' แม้รู้แก่ใจดีว่าอาจเสียเวลา เสียเงินเสียทอง ถึงขั้นเสียตัว
หลังข่าวการบุกจับหมอเสน่ห์ 'อาจารย์การเวก เทพหน้าทอง มอญแปลงรูป'ที่ตำหนักส่วนตัว จ.ปทุมธานี โดยมีการเปิดเผยว่าหญิงสาวจำนวนมากตกเหยื่อถูกล่อลวงให้มีเพศสัมพันธ์ บังคับให้กินยาบ้า แล้วข่มขืน ถ่ายคลิปไว้แบล็คเมล์เพื่อรีดไถเงิน ก่อให้เกิดประเด็นถกเถียงกันในสังคมอีกครั้งว่าเพราะเหตุใดสังคมไทยยังเชื่อเรื่องงมงายเหล่านี้อยู่
โพสต์ทูเดย์ ได้ติดต่อสัมภาษณ์ พ.ต.อ.วิวัฒน์ คำชำนาญ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล 5 นายตำรวจคนเก่งผู้ที่สื่อมวลชนตั้งฉายาว่า "มือปราบกุมารทอง" จากผลงานที่เคยทลายแก็งค์มิจฉาชีพที่เกี่ยวข้องกับแวดวงไสยศาสตร์ถึง 2 คดี
คดีแรก เมื่อปี 2548 จับกุมนายหาญ รักษาจิตร์ หรือเณรแอ หมอเสน่ห์เจ้าของตำรับกุมารทอง และมนต์ดำเสน่ห์ยาแฝดชื่อดังแห่งยุค ฐานฉ้อโกงประชาชน คดีที่สอง จับกุมนายโจว ฮอง ฮุน ชาวไต้หวัน เซียนชื่อดังในหมู่ตลาดค้าเครื่องรางของขลัง ข้อหาครอบครองซากทารกที่ผ่านพิธีปลุกเสกกุมารทอง
มือปราบจอมขมังเวทย์ บอกว่าตราบใดที่สังคมไทยยังเชื่อเรื่องอิทธิฤทธิ์ปฏิหารย์ ไสยศาสตร์ มนต์ดำ อำนาจลี้ลับของธรรมชาติ ก็จะมีคนร้ายอาศัยความศรัทธาของประชาชนมาเป็นเครื่องมือหากิน
"วิธีทำเสน่ห์แบบไทยๆนั้นมีมากมายหลายสิบวิธี แต่ละอาจารย์ไม่เหมือนกัน บางวิธีก็ทำกันมาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน บางวิธีก็ไม่นิยมใช้กันแล้ว แต่เดี๋ยวนี้พบว่าการทำเสน่ห์ที่นิยมหลอกลวงกันมี 3 ชนิดคือ การลงนะหน้าทอง (การลงทองคำเปลวตั้งแต่บริเวณหน้าผากจนถึงหน้าอก หวังผลทางเมตตามหานิยม ให้คนเคารพนับถือ) การทำเสน่ห์ยาแฝด (การทำเสน่ห์โดยทำยาผสมให้กินตามตำรับโบราณ เมื่อผู้ใดกินเข้าไปก็จะเกิดความรักโหยหา) และการฝังรูปฝังรอย (การนำเสื้อผ้า หรือภาพถ่ายของผู้ที่เราต้องการจะกระทำมาผูกเป็นหุ่น แล้วทำพิธีเสกด้วยคาถาอาคม จากนั้นจึงนำไปฝังดิน เพื่อให้คนรักกันหรือแยกจากกัน)
จากประสบการณ์ของผม เวลาบุกเข้าจับกุมจะต้องดูของกลางเป็นหลัก รายละเอียดแวดล้อมตั้งแต่โต๊ะหมู่บูชา หัวกะโหลกผี หุ่นกุมารทอง เครื่องรางของขลังต่างๆ เช่น แผ่นทองคำเปลว หุ่นตุ๊กตารูปคนคู่ผูกด้วยสายสิญจน์ ภาพถ่าย สมุดบัญชีรายชื่อลูกค้า เราจะรู้ได้เลยว่าเขาใช้วิธีหลอกหลวงแบบไหน มีความรู้ความชำนาญจริงไหม
แต่ละเคสมีการประทุษกรรมเหยื่อต่างกัน ยกตัวอย่างเคสชาวไต้หวันที่ปลุกเสกกุมารทอง นั่นทำตามตำราเป๊ะเลย วิธีเขียนยันต์ มัดหุ่น ดูรู้เลยว่ามีความเชี่ยวชาญ ส่วนอาจารย์การะเวก ดูจากอุปกรณ์ต่างๆสำหรับประกอบพิธีลงนะหน้าทอง ลักษณะการมัดหุ่นที่จะใช้ในพิธีฝังรูปฝังรอยพบว่าคนทำยังไม่มีความรู้ความเข้าใจเลยว่าการทำแตกต่างกันอย่างไร หรืออย่างเณรแอที่นำทั้งสองอย่างมาผสมกัน โดยอ้างว่าร่ำเรียนมาจากเขมร แถมยังพบถุงยางอนามัย ยา กระตุ้นทางเพศ ก็เลยรู้ทันทีว่าไอ้นี่หลอกเหยื่อทำอนาจารแน่ๆ วิธีที่เณรแอใช้คือจะให้ผู้หญิงอาบน้ำมนต์ นุ่งกระโจมอก เสร็จแล้วก็มานอน เอาเทียนคลึง ถู ลูบไปตามร่างกาย จนหญิงสาวเกิดอารมณ์ทางเพศ เสร็จแล้วก็บอกว่าจะขอทดสอบความขลังด้วยการลองของ ก็เลยมีเพศสัมพันธ์กัน"
ทั้งนี้ จากการเปิดเผยของหนึ่งในตำรวจชุดจับกุมเณรแอ ได้แฉว่าเสน่ห์ยาแฝดของเณรแอไม่ขลังอย่างที่คิด
"เหตุการณ์ที่มีผู้หลงเชื่อว่าอดีตเณรแอสามารถทำเสน่ห์ยาแฝดได้นั้น เป็นการเชื่อของชาวบ้านเอง โดยบางรายมาทำเสน่ห์กับอดีตเณรแอแล้วไปได้สามีเป็นฝรั่งชาวต่างชาติ ก็ทำให้มีการเล่าลือกันไปว่าการทำเสน่ห์ของอดีตเณรแอขลัง และมีการพูดปากต่อปาก ทำให้มีชาวบ้านหลงเชื่อพากันไปทำพิธีจำนวนมาก
เณรแอจะมีข้อกำหนดอยู่อย่างหนึ่งคือ หลังจากทำพิธีลงเสน่ห์ให้แล้วห้ามไม่ให้ผู้ทำพูดคำหยาบ หรือด่าทอ ซึ่งเมื่อหญิงสาวที่ทำเสน่ห์ไปแล้ว สามีของหญิงสาวคนนั้นเห็นอาการผิดปกติของภรรยา เช่น หากกลับบ้านมาด้วยอาการหัวเสียหรือหงุดหงิด ภรรยาที่เมื่อก่อนเคยโกรธ หรือด่าทอ กลับไม่ด่าไม่โกรธ แถมยิ้มให้อีกก็ทำให้สามีสบายใจขึ้น ก็แสดงความรักตอบ ซึ่งหญิงสาวที่ทำเสน่ห์ไปก็เชื่อว่าได้ผล โดยเท่าที่ได้ยินมาจากปากชาวบ้าน บางรายมีการโอนเงินมาให้เพราะนึกว่าเณรแอทำสำเร็จ ”
ข้อมูลจากหนังสือชื่อ ‘สนิมดอกไม้’ เขียนโดยอรสม สุทธิสาคร ในตอน 'หมอเสน่ห์:ความป่วยใจในสังคมเมือง' ระบุว่าปัจจุบัน 'การทำเสน่ห์'ยังคงมีอยู่ทั่วประเทศ ไม่ว่าภาคอีสาน แถบสุรินทร์ ศรีสะเกษ อันสืบทอดจากตำรับเขมร ภาคเหนือแถบเชียงใหม่ลำพูน สืบทอดจากล้านนา แถบเมืองกาญจน์ ชายแดนพม่า อันสืบทอดตำรับจากมอญ หรือแถบภาคใต้ที่ได้รับอิทธิพลจากแขก บ้างก็มาในรูปของคนทรง บางสำนักมาในรูปของหมอดู
สมัยก่อน หมอเสน่ห์ส่วนใหญ่มักปิดตัว มิปรารถนาโฆษณาประชาสัมพันธ์ แต่ยุคนี้กลับพบว่ามีการประกาศตัวเรียกลูกค้ากันอย่างโจ๋งครึ่มผ่านทางสื่อออนไลน์ โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ทั้งเมียหลวงที่ต้องการเรียกสามีกลับคืนมา ทั้งเมียน้อยที่ต้องการแย่งสามีจากคนอื่น รวมถึงสาวโสดทั้งหลายที่หวังสร้างเสน่ห์เพื่อตามหารักแท้ แม้มิเคยมีการทำสถิติจำนวนหมอเสน่ห์ทั่วประเทศไว้ ว่ากันว่าเมื่อวัดจากค่าทำพิธีที่มีตั้งแต่ 2 พัน - 1 แสนบาท ยอดเงินน่าจะสะพัดมากถึงพันล้านบาทต่อปี
พ.ต.อ.วิวัฒน์ กล่าวต่อว่าการปราบปรามมิจฉาชีพผู้อ้างว่าเป็นจอมขมังเวทย์เหล่านี้ จะดำเนินคดีด้วยข้อหาฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 341 แต่ยุคนี้คนร้ายมักใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือหลัก จึงต้องใช้พ.ร.บ.ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 เรื่องการนำข้อมูลอันเป็นเท็จ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นด้วย
"เหตุที่คดีเหล่านี้ยังมีอยู่ก็เพราะไม่มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความ เท่าที่ดูจากสมุดรายชื่อเจอตั้งแต่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นักธุรกิจไฮโซ ดาราดังๆคนมีชื่อเสียง ยันชาวบ้านธรรมดา พวกนี้มักไม่ให้ความร่วมมือ มาทีก็มาแบบหลบๆซ่อนๆ กลัวอับอาย เพราะทั้งเสียหน้า เสียเวลา เสียเงิน บางคนเสียตัว บางรายเจออัดวีดีโอแบล็กเมล์ซ้ำอีก ผมขอแนะนำว่าถ้าเกิดกรณีโดนมิจฉาชีพหลอกหลวง ขอให้ช่วยกันเข้ามาแจ้งความร้องทุกข์ เพื่อไม่ให้เกิดกับคนอื่นอีก"มือปราบกุมารทอง กล่าว
ปิดท้ายด้วยความคิดเห็นของ ผศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และพิธีกรรายการวิทยาตาสว่าง รายการที่หักล้างไสยศาสตร์และความเชื่องมงายด้วยการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ เขาบอกว่า
"ปัจจุบัน สังคมไทยเราศาสนาพุทธยังไม่เข็มแข็ง ผู้คนยังยึดอยู่กับเรื่องพิธีกรรม ตำนานความเชื่อ ดูดวง เรื่องลี้ลับมากกว่าหลักคำสอนจริงๆ ประกอบกับวิทยาศาสตร์บ้านเราก็ไม่เข้มแข็ง ถึงแม้จะมีหลักสูตรการเรียนการสอนมา 30-40 ปีแต่ก็ยังไม่สามารถทำให้คนใช้หลักวิทยาศาสตร์เข้าไปพิสูจน์ตอบคำถามต่างๆในชีวิตประจำวันได้
ดังนั้นเมื่อคนหมดที่พึ่ง ไม่รู้จะแก้ไขปัญหายังไง เขาจึงต้องย้อนกลับไปยังความเชื่อแบบเดิมๆ เรื่องไสยศาสตร์ ยิ่งในวันที่มีโซเชียลเน็ตเวิร์ก ความรู้เชิงลบเหล่านี้ก็แพร่หลายได้เร็ว ทำให้คนหลง งมงายมากขึ้น วัดได้จากการเติบโตของรายการผี หมอดู ผู้ที่อ้างว่าตัวเองมีจิตสัมผัส หรือญาณวิเศษทั้งหลาย แต่ที่น่าเป็นห่วงกว่านั้นคือสื่อเองก็สนับสนุนด้วย ยกตัวอย่างเวลามีเหตุการณ์อะไรประหลาดๆ แทนที่จะไปถามนักวิทยาศาสตร์กลับไปสัมภาษณ์หมอดู ร่างทรง
ผมมองว่ารายการอย่างบางอ้อ นาทีฉุกเฉิน หรือเรื่องจริงผ่านจอ ที่มุ่งเน้นการค้นหาความจริง ไขข้อสงสัย พิสูจน์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ มีกระบวนการหาข้อมูลแบบเป็นเหตุเป็นผล รายการพวกนี้ควรจะมีเยอะๆ จะแฉ หรือเอาเหยื่อที่เคยถูกต้มตุ๋นมาเล่าประสบการณ์ก็ทั้งนั้น อย่ารอตำรวจอย่างเดียว"
ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ ผศ.ดร.เจษฎา บอกว่าคำว่า 'ไม่เชื่ออย่าลบหลู่' ที่มักได้ยินเวลาพูดถึงเรื่องไสยศาสตร์ ทำให้คนไม่กล้าแย้ง หรือคิดต่าง ควรเปลี่ยนเสียใหม่เป็น 'ไม่เชื่อต้องพิสูจน์' โดยการหาหลักฐานมาลบล้างความเชื่อ.
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน