รัฏฐาธิปัตย์-ในรอยเท้าช้าง
จาก โพสต์ทูเดย์
รัฏฐาธิปัตย์ ระเบิดใต้ ปู ปึ้ง แม้ว กำนัน
อิสลาม คนไทย มะกันและอื่นๆ ในรอยเท้าช้าง
โดยภัทระ คำพิทักษ์
ผมตะหงิดๆว่า มันมีความเกี่ยวพันอะไรบ้างอย่างในเรื่องสถานการณ์การเมืองซึ่งกำลังรบกันอยู่ในเมืองหลวงกับเหตุระเบิดใหญ่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้แน่ๆ
รู้ว่า มันมีความนัยอะไรบางอย่างแต่อธิบายเป็นระบบไม่ได้ จนกระทั่งค้นไปเจอบทความของ John L.Esposito ศาสตราจารย์ด้านกิจการระหว่างประเทศและอิสลามศึกษาที่ จอร์จ ทาวน์ ยูนิเวอร์ซิตี้ เลยถึงบางอ้อ
พอถึงบางอ้อแล้วเลยนึกถึง กำนัน ยิ่งลักษณ์ ทูตสหรัฐ ฯพณฯปึ้ง และใครอีกหลายคน ว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้นรู้ไหมว่า เรากำลังเผชิญกับอะไร?
ในบทความเรื่องประชาธิปไตยกับอิสลาม : บริบทโลกกับมรดกทางวัฒนธรรม (อุกฤษณ์ แพทย์น้อย บรรณาธิการ) John L.Esposito วาดภาพใหญ่ให้เห็นว่า ประวัติศาตร์โลกปัจจุบันมีแนวโน้มสองกระแสที่กำลังดำเนินอยู่อย่างเข้มข้น นั่นคือ การขับเคลื่อนสังคมไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย และ การยืนยันอัตตลักษณ์ทางสังคมที่เฉพาะเจาะจง
กระแสแรกนั้นเรียกว่าไม่มีอะไรทัดทาน ว่ากันเฉพาะบ้านเรานี่ก็คงเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้กำนัน บิ๊กตู่ และใครต่อใครไม่กล้าฉีกรัฐธรรมนูญกันเลยสักคน
กระแสหลังนั้น ตั้งแต่หลังปี คศ.1990 เป็นต้นมาก็เป็นที่ชัดแจ้งแล้วว่า"การยืนยันอัตตลักษณ์ขึ้นพื้นฐานของชุมชนคือ หนึ่งในปัจจัยหลักที่มีบทบาทหลักในกิจการโลกยุคปัจจุบัน" อัตตลักษณ์นี้ ครอบคลุมตั้งแต่การเคลื่อนไหวของขบวนการชาติพันธุ์ไปยันการพลิกฟื้นของศาสนาที่กำลังแพร่หลายอยู่ทั่วโลกอีกด้วย
ความครอบคลุมนี้ถ้าดูจากฟีดข่าวของเหล่าเพื่อนๆในเฟสบุ๊ก ผมก็เห็นตั้งแต่ การประกาศตัวของการเคารพอัตตลักษณ์มุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปยันการฟื้นละครชาตรีของชุมชนนางเลิ้ง อะไรประมาณนั้น
John L.Esposito ขยายภาพของสองกระแสนี้ลงไปในรายละเอียดอีกว่า โลกาภิวัฒน์ การที่คนสามารถเข้าถึงสื่อได้มากขึ้น ฯลฯ ได้ทำให้ประชาชนทั่วโลกต้องการมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้นแต่โลกทัศน์ของประชาชนจะไม่เหมือนชนชั้นนำซึ่งได้รับการศึกษาจากตะวันตก มันกลับมีพลวัตไปคล้ายกับลัทธิชาตินิยม อย่างกรณีชาวมุสลิมนั้น ลัทธิชาตินิยมในรูปแบบที่ปรากฏในโลกตะวันตกจะอยู่ในหมู่ปัญญาชนที่ได้รับการศึกษาหรืออิทธิพลจากตะวันตกแต่พอมันอยู่ในจิตสำนึกของหมู่ประชาชนซึ่งเข้าไม่ถึงอะไรแบบนั้น มันจึงกลายรูปไปเป็นการหันเข้าสู่หลักคำสอนและขนบจารีตแบบอิสลามมากขึ้น
นั่นทำให้ไม่ลังเลเลยที่จะทำให้ John L.Esposito ฟันธงว่า "แรงกดดันให้มีการขับเคลื่อนสังคมสู่ความเป็นประชาธิปไตยในโลกมุสลิมยิ่งตอกย้ำและเสริมพลังให้แก่การพลิกฟื้นศาสนาอิสลามในอีกทางหนึ่งด้วย"
John L.Esposito บอกว่า สหรัฐและโลกตะวันตกมักส่งออกประชาธิปไตยโดยนึกถึงแต่ประชาธิปไตยตามแบบของตัวเอง พูดง่ายๆว่า ยึดถือเอารูปแบบประชาธิปไตยแบบตัวเองมาเป็นมาตรฐานของโลก ไม่ได้คำนึงถึง ประเพณี วัฒนธรรม คติ ความเชื่อ ฯลฯ รวมทั้งพลวัตที่เกิดขึ้นในสังคมอื่นเลย
ประชาธิปไตยแบบมาตรฐานอเมริกันคือ การให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งและการปกครองแบบเสียงข้างมาก และการเลือกตั้งที่เป็นการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรมกลายเป็นสูตรสำเร็จของการสถาปนาประชาธิปไตยที่กำลังแพร่หลาย
การเลือกตั้งกลายเป็น "ส่วนที่สำคัญที่สุดเพียงหนึ่งเดียวของระบบที่เรียกได้ว่า มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง"
คุ้นๆไหม ประชาธิปไตยแบบนี้ ก็ที่ นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศว่า "ดิฉันมาจาการเลือกตั้ง" นั่นไง สูตรนี้เลยล่ะ
ขณะที่อเมริกันและตะวันตกสถาปนามายาคติของสูตรสำเร็จการเป็นประชาธิปไตยแบบนั้นขึ้น John L.Esposito ได้ให้ข้อมูลว่าถ้ามองไปทั่วโลกแล้วจะพบว่า ยังมีประชาธิปไตยแบบอื่นอยู่อีก และรูปแบบที่พบได้มากสุดคือ ประชาธิปไตยแบบฉันทามติและ "หากกลับไปพิจารณาประวัติศาสตร์ของประชาธิปไตยที่ผ่านมาเราจะพบว่า การเลือกตั้งอย่างเป็นทางการไม่ใช่ส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ของระบอบประชาธิปไตย ตัวอย่างเช่น ในกรุงเอเธนส์ตัวแทนของประชาชนถูกเลือกให้มาปกครองโดยการจับสลาก..."
John L.Esposito บอกว่า ถ้าไม่มัวแต่ไปยัดเยียดรูปแบบประชาธิปไตยสำเร็จรูปที่ตัวเองคิดว่ามันถูกต้องที่สุดให้กับประเทศอื่น แล้วค่อยๆไปพิจารณาจะพบว่า วัฒนธรรม พลวัตร ฯลฯ ของสังคมอื่น ประเทศอื่น หรือแม้แต่ศาสนาอื่นนั้นล้วนแต่มีอะไรที่ดีงามที่สามารถเกื้อหนุนให้ประชาธิปไตยแตกหน่อออกผลได้ทั้งนั้น
ตัวอย่างเช่น ในศาสนาอิสลามนั้น ถ้าไม่ไปตีความหมายของคำว่า กาลิฟาห์ (khalifah) ว่า หมายถึงผู้นำหรือสถาบันการเมืองอย่างเดียว แต่ยึดอัลกรุอานแล้วตีความว่า กาลิฟาห์ หมายถึงการเป็นข้ารับใช้ของมนุษย์ต่อสรรพสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าสร้างขึ้น ความหมายก็จะกว้างขึ้นระดับจักรวาลและประชาธิปไตยก็เริ่มขึ้นได้ในศาสนาอิสลาม
John L.Esposito ไม่ได้พูดชัดนักแต่ก็พอทำให้เข้าใจได้ว่า การส่งออกและยัดเยียดประชาธิปไตยในรูปแบบสูตรสำเร็จนี้ จะนำไปสู่ทางแยกสองด้านๆหนึ่งนำความหลากหลายของบรรดาพลวัตรและปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมต่างๆมาขับเคลื่อนสังคมโลกให้ก้าวไปสู่ประชิปไตยแบบก้าวหน้า ถ้าไปแบบนั้นไม่ได้อีกด้านหนึ่งทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันและอาจจะเกิดฉากอนาคตที่เรียกได้ว่าสงครามล้างโลกก็เป็นไปได้
ผมว่า สิ่งที่ John L.Esposito นำเสนอนี้น่าคิดถ้ามันเป็นรอยเท้าช้าง แล้วเราเอาเรื่อง รมว..ต่างประเทศสหรัฐพูดเรื่องประชาธิปไตยกับการเลือกตั้ง เรื่องทูตสหรัฐพูดเรื่องกกปส. เรื่องทักษิณและบริวารกำลังล็อบบี้สหรัฐและโลกตะวันตกให้มองเห็นกำนันเป็นตาลีบันเพราะต่อต้านการเลือกตั้ง เรื่องนักการเมืองและนักวิชาการแดงหลายคนมุ่งให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ศาลและองค์กรอิสระ เรื่องเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เรื่องนายกฯแบะๆเรื่องภาคใต้ เรื่องกปปส.เรียกร้องการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง ฯลฯ ใส่เข้าไปในรอยเท้าใหญ่ยักษ์นี้ เราก็จะเห็นภาพใหญ่และเวทีการต่อสู้ที่กำลังดำเนินอยู่ของประเทศต่างๆในโลก ย่อลงมาถึงระดับประเทศ ระดับภาค ระดับ 3 จังหวัด ลงมากระทั่งระดับชุมชนหรือแม้กระทั่งปัจเจกชน
ทำความเข้าใจประชาธิปไตยให้ดีเถอะแล้วเราจะเกิดความรู้และจินตนาการอีกมาก
คิดเรื่องนี้แล้วคิดถึงอาจารย์มีชัย ฤชุพันธ์ หลายครั้งที่ท่านพูดกับผมว่า เมืองไทยต้องหารูปแบบประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับประเทศของเรา ท่านว่า รัฐธรรมนญบางฉบับเหมือนรถโรสรอยส์ มันดูดีไปหมดแต่เรากลับเอามาวิ่งในท้องนา มันดีแต่ไม่สัมพันธ์กับภูมิศาสตร์การเมืองไทย บ้านเมืองไทยเอาเสียเลย
ในเสียงกังวานของการแสดงออกถึงความรักและแหนหวงประชาธิปไตยของคนเสื้อแดงและการประกาศตายคาเก้าอี้เพื่อรักษาประชาธิปไตยของคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผมสงสัยว่า นอกจากการได้เสียงข้างมาก ทำอะไรก็ไม่ผิดเพราะมีเสียงข้างมากเแล้ว เธอและพรรคพวกรู้จักประชาธิปไตยดีสักเท่าไหร่
ส่วนเราท่านทั้งหลายเอง เคยคิดและจินตนาการถึงประชาธิปไตยที่เหมาะกับประเทศไทยจริงๆหรือไม่?
ถ้าเราหาคำตอบนี้ไม่ได้ก็คงต้องเรียกร้องการปฏิรูปไปอีกหลายๆหนและเผชิญระเบิดกันไปอีกเรื่อยๆ
โลกและสังคมเรา ล้วนกำลังอยู่ในทางแยกที่ต้องเลือก
สุเทพให้สิทธิ์ขาดข้าราชการกับประชาชนปฎิรูปประเทศ
จาก โพสต์ทูเดย์
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส. ปราศรัยเวทีสวนลุมพินี ว่า วันนี้ได้เดินทางไปกระทรวงกลาโหม มีโอกาสพูดคุยกับพล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้บอกปลัดกระทรวงกลาโหมว่า ตลอดเวลาการต่อสู้ 5 เดือน สู้ตามกรอบกฎหมายอย่างสันติ ตั้งแต่ต่อสู้ไม่เคยเอาเรื่องพระมหากษัตริย์ มาเป็นประเด็น เพราะจะเป็นปัญหามาก เรารู้ความบังควรมิควร
“ปลัดกระทรวงกลาโหมบอกกับผมว่า มีคนวิจารณ์มากเรื่องคุณสุเทพ จะเป็นรัฏฐาธิปัตย์ สิ่งที่ผมพูดยังไม่เกิดขึ้น กรณีศาลรัฐธรรมนุญวินิจฉัยน.ส.ยิ่งลักษณ์กระทำการขัดรธน. ต้องพ้นตำแหน่งอยู่ต่อไปไม่ได้ และถ้ายิ่งลักษณ์ยังดื้อดึงดันไม่รับคำตัดสินป.ป.ช.และคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญยังอยู่ต่อ อ้างเหตุโน้นเหตุนี้ ถึงตอนนั้นเป็นหน้าที่มวลมหาประชาชนต้องเอาอำนาจคืน ผมชี้แจงปลัดกระทรวงกลาโหมว่า อำนาจปวงชนชาวไทยเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 3 เมื่อมอบอำนาจให้ยิ่งลักษณ์ไปใช้ในทางที่ผิด ต้องเอาคืนประชาชนชาวไทย ถึงวันนั้นกรณีอย่างนั้นที่ประชาชนประกาศความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ เราไม่ได้ยึดหรือแย่งชิงอำนาจมาจากน.ส.ยิ่งลักษณ์ เราเอาคืนเพราะเขาไม่มีคุณสมบัติใช้อำนาจแทนประชาชน เพราะศาลตัดสินแล้ว “ นายสุเทพ กล่าว
นายสุเทพ กล่าวว่า ได้บอกกับปลัดกระทรวงกลาโหมว่า เมื่อน.ส.ยิ่งลักษณ์สิ้นอำนาจยังนั่งอยู่ในตำแหน่ง ประชาชนทนไม่ได้ จึงเป็นเรื่องของประชาชนใช้อำนาจ หานายกฯ ตั้งรัฐบาล มีสภา ทำการปฏิรูป ประมาณ 18 เดือน จากนั้นเลือกตั้ง พรรคการเมืองไหนจะลงเลือกตั้ง กปปส.ไม่เกี่ยวเพราประกาศแล้วว่าเราไม่ตั้งพรรคการเมือง ไม่เอาตำแหน่ง ไม่ลงแข่งขัน และใครตั้งรัฐบาลก็ไม่ตนเข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะฉนั้นขอให้ปลัดกระทรวงกลาโหมสบายใจ ไม่ได้คิดเป็นจอมเผด็จการอย่างที่มีคนพูด
นายสุเทพ กล่าวว่า ได้บอกกับปลัดกระทรวงกลาโหม เมื่อมีการปฏิรูป เป็นเรื่องของปลัดกระทรวง ข้าราชการร่วมมือกับประชาชนวางกฎเกณฑ์กติกา นักการเมืองไม่เกี่ยว เมื่อวางกฎเกณฑ์เรียบร้อยนักการเมืองจึงมาใช้กฎเกณฑ์นั้น
นายสุเทพ กล่าวว่า การต่อสู้ครั้งนี้ใช้เวลาเตรียมตัวมากก่อนถึงวันที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน ถือเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ม้วนเดียวจบ เชื่อว่าวันนั้นประชาชนจะออกมามืดฟ้ามัวดิน แต่ถ้าวันนั้นประชาชนไม่ได้ออกมาจริง เป็นเหตุให้ตนแพ้ ก็เดินเข้าคุกอย่างองอาจ โดยบอกกับปลัดกระทรวงกลาโหมแล้วว่า จะเดินทางไปมอบตัวกับปล้ดกระทรวงกลา.โหม หรือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.
"ระหว่างนี้เรายึดสวนลุมพินีเป็นสมรภูมิไปก่อน จนถึงวันใหญ่ เรามีแผนไว้แล้ว " นายสุเทพ กล่าว
สว-ชี้รัฐบาลไม่เคารพศาลรธน-เท่ากับเป็นกบฎ
จาก โพสต์ทูเดย์
นายตวง อันทะไชย สว.สรรหา และประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ส่วนตัว Tuang Untachai โดยมีเนื้อหาดังนี้
....มีคนถามผมว่า หากศาลวินิจฉัยให้ นรก.ปูและครม.สิ้นสุดลงแล้ว ...ไม่ยอมรับคำวินิจฉัยศาลและไม่ลงจากอำนาจ....จะเกิดอะไรขึ้นและประชาชนจะทำอย่างไร ? ..ผมตอบคำถามตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญดังนี้
.....1).หากความเป็นนายกฯสิ้นสุดลงตามมาตรา 182(7) เพราะกระทำผิดตามมาตรา 266 ประกอบมาตรา 268 และคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ....คณะรัฐมนตรีทั้งคณะก็ต้องพ้นไปตามนายกฯตามมาตรา 180(1) ไม่มีอำนาจและสิทธิในการรักษาการตามมาตรา 181 อีกต่อไป
......เพราะสิทธิในการรักษาการตามมาตรา 181นั้นต้องมีฐานมาจากการเป็นนายกฯที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้ ..แต่เมื่อสิ้นสุดความเป็นนายกฯสิ้นสุดก่อนยุบสภา... จึงไม่มีสิทธิจะเป็นรัฐบาลรักษาการอีกต่อไป...
....2).หากนายกฯไม่ยอมรับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ยอมลงจากตำแหน่ง รักษาการนายกฯและคณะรัฐมนตรีก็จะกลายเป็นผู้ปฏิวัติหรือรัฐประหารทันที... และหรือเป็นกบฏ…
3.ประชาชนจึงมีความชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ที่บัญญัติว่าการได้อำนาจมาโดยไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ...ก็คือการไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ.. และประชาชนมีสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ....โดยการต่อต้าน นรก.ปูและคณะซึ่งกลายเป็นกบฎ ...โดยสันติวิธีตามมาตรา 69 ก็คือออกมาชุมนุมประท้วงและขับไล่ ..... โดยสันติวิธีตามมาตรา 63
.......โดยสรุปหากไม่ปฏิบัติตามคำวินิจศาลก็จะขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 216 และเป็นการได้อำนาจมาโดยไม่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 68 มีฐานะเป็นกบฎและกระทำปฏิวัติเสียเองหรือรัฐประหาร ประชาชนก็มีความชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญออกมาต่อต้านและปกป้องรัฐธรรมนูญตามมาตรา 69....ขับไล่กบฎได้ครับ..
.......ช่วยกันแชร์ต่อด้วยครับ...แต่ผมคิดว่าเขาคงไม่กล้า..อาจจะพูดเฉยๆ เขารู้ว่าคำตอบคืออะไร.. ..เพราะศาลตัดสินทุกครั้งก็ทำเป็นต่อต้าน...แต่ที่สุดต้องปฏิบัติตามครับ เช่น.... กรณี ศาลวินิจฉัยที่มาของ สว./มาตรา 190/ พรบ.เงินกู้ 2 ล้านล้าน/พรบ.นิรโทษกรรม/และการเลือกตั้งเป็นโมฆะ เป็นต้น... หากไม่ปฏิบัติตามก็จะกลายเป็นกบฎทันที เพราะขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ได้อำนาจมาโดยมิชอบครับ
ที่มา https://www.facebook.com/tuang.untachai/posts/686457794729486
สุเทพ'แจงตั้ง'รัฏฐาธิปัตย์'แค่เรื่องสมมุติ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
"สุเทพ" แจงตั้ง "รัฏฐาธิปัตย์" แค่เรื่องสมมุติ กรณี "ยิ่งลักษณ์" พ้นรักษาการนายกฯ เท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การหารือระหว่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขากปปส.และพล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกลาโหม เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ทั้ง 2 ฝ่ายได้เปิดแถลงให้สื่อมวลชนเข้าภายในกระทรวงกลาโหม เพื่อเผยผลการหารือ โดยพล.อ.นิพัทธ์ กล่าวว่า ตนเป็นข้าราชการการพูดครั้งนี้ต้องยอมรับว่ามีข้อจำกัดด้านกฏหมาย แต่เรามีความตั้งใจดีที่จะฟังคำชี้แจง กปปส. และเชื่อว่า กปปส.มีความตั้งใจดีที่จะชี้แจงจึงเปิดโอกาสรับฟัง ส่วนจะตัดสินใจอย่างไรก็เป็นดุลยพินิจของตนและกำลังพล
ด้านนายสุเทพ กล่าวว่า เราเห็นความจำเป็นว่าบ้านเมืองต้องปฏิรูปโดยประชาชน ข้าราชการ ตำรวจ ทหาร แต่ไม่มีนักการเมือง การที่จะปฏิรูปสำเร็จต้องมีทหารร่วมด้วย และจากการพูดคุยตนเสนอแนวทางการปฏิบัติระหว่างข้าราชการ ทหาร และประชาชน อย่างไรก็ตามพล.อ.นิพัทธ์ ขอความร่วมมือกับตนว่า ขอให้หยุดการเคลื่อนไหวช่วงสงกรานต์ เพื่อให้กำลังพลทั้งตำรวจและทหาร หยุดพักผ่อนและทำบุญตามประเพณี ซึ่งรับปากว่าวันที่ 12-15 เม.ย.เราจะไม่มีการเคลื่อนไหว นอกจากนั้นพล.อ.นิพัทธ์ แจ้งกับเราว่าเรื่องรัฏฐาธิปัตย์ได้สร้างความเคลือบแคลงสงสัยให้คนในสังคม แต่ตนเรียนว่าเรื่องนั้ยังไม่เกิดขึ้น เพียงแต่หากเป็นการสมมุติขึ้นว่า หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากระทำขัดรัฐธรรมนูญ ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ประเทศไทยจะเกิดสูญญากาศ อำนาจอธิปไตยจะกลับคืนสู่ประชาชน สามารถใช้มาตรา 3 ตั้งรัฏฐาธิปัตย์ด้วยความร่วมมือจากทุกฝ่าย และจัดตั้งสภานิติบัญญัติและสภาประชาชน เพื่อปฏิรูปบ้านเมืองต่อไป
ขณะที่พล.อ.นิพัทธ์ กล่าวว่า เรื่องรัฏฐาธิปัตย์ตนจะถ่ายทอดเจตนารมณ์นี้ไปยังกำลังพลแต่กำลังพลจะคิดอย่างไรก็เป็นดุลยพินิจ แต่ก็เชื่อว่าการหารือกันครั้งนี้จะทำให้บ้านเมืองดีขึ้น จากนั้นนายสุเทพและแกนนำได้ออกจากกระทรวงกลาโหม โดยนายสุเทพได้ปราศรัยบนรถติดเครื่องขยายเสียงถึงผลการหารือพร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่า เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทหารและประชาชนจะได้ร่วมมือกันปฏิรูปประเทศ จากนั้นนายสุเทพ นำผู้ชุมนุมเดินทางไปยังกระทรววงมหาดไทยเพื่อเยี่ยมเยียนกลุ่มสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์(สรส.) ที่ควบคุมพื้นที่การชุมนุมอยู่ก่อนเดินทางกลับสวนลุมพินี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลาประมาณ 14.00 น. ระหว่างที่แกนนำและมวลชนเคลื่อนออกจากกระทรวงกลาโหม และแวะเยี่ยมเยือนการชุมนุมของ สรส. ที่หน้ากระทรวงมหาดไทย ได้เกิดเหตุวุ่นวายขึ้นเนื่องจากขณะที่นายสุเทพกำลังเดินเข้าภายในพื้นที่การชุมนุม มีเสียงดังคล้ายระเบิดดังขึ้น และเกิดกลุ่มควันขึ้นด้านข้างป้อมยาม ที่อยู่ห่างจากจุดที่นายสุเทพยืนอยู่ประมาณ 50 เมตร ทำให้ผู้ชุมนุมแตกตื่น และการ์ดได้จับชายต้องสงสัย อายุประมาณ 40 ปีไปสอบสวนและส่งตัวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป พร้อมประสานทหารที่ตั้งบังเกอร์อยู่ใกล้พื้นที่เกิดเหตุเข้าตรวจสอบ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
สุเทพ'ชี้ปมรัฏฐาธิปัตย์ ไม่ได้ชิงอำนาจแต่เอาอำนาจคืน
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
"สุเทพ"แจงคุย"ปลัดกลาโหม" ชี้ปชช.จะประกาศเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ไม่ได้ชิงอำนาจแต่เอาอำนาจคืน ลั่นสู้ม้วนเดียวจบ แพ้-ชนะพร้อมทำใจ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. กล่าวกับผู้ชุมนุมที่เวทีสวนลุมพินี กรณีการเดินทางไปที่ กระทรวงกลาโหมว่า เดินทางไปชี้แจงเหตุผลการต่อสู้และเป้าหมายการต่อสู้ของกลุ่ม กปปส. ต่อข้าราชการของกระทรวงกลาโหม และได้พูดคุยกับปลัดกระทรวงกลาโหมว่า เพราะประชาชนไม่สามารถยอมให้ประเทศเสียหาย เพราะการกระทำของนักการเมืองที่เห็นแก่ตัวและไม่ฟังเสียงประชาชนโดยจะต้องรีบแก้ไขต้นเหตุของปัญหา คือพรรคการเมืองและกระบวนการเลือกตั้งทั้งหมด
" ปลัดกลาโหม ถามผมว่าทั้งหมดจะจบลงอย่างไร ผมตอบว่าเมื่อรัฐบาลหักหลังประชาชน ใช้อำนาจโดยมิชอบและฉ้อโกง ปล่อยให้มีการทุจริตคอรัปชั่น ประชาชนมีสิทธิ์ลุกขึ้นต่อสู้ได้ภายใต้กรอบของกฎหมาย และยังบอกปลัดกลาโหมว่าขนาดคนเราถูกทำร้ายกว่า 700 คน และมีเสียชีวิต 20 คน แต่พวกเราก็ยังชุมนุมโดยสงบ สันติ ไม่บรรลุโทสะ และไม่เคยเอาเรื่องสถาบันมาเป็นประเด็น เรารู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร และบอกว่ามันเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่ต้องดูแลบ้านเมือง"
สุเทพ กล่าวอีกว่า การต่อสู้ครั้งนี้จะสำเร็จได้ ข้าราชการทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร ต้องออกมาร่วมมือกับประชาชนจึงจะสำเร็จผลโดยเร็ว และนี่เป็นเหตุผลที่มากระทรวงกลาโหม ปลัดกลาโหมถามผมว่าทำอย่างไรถึงจะให้ตำรวจ ทหาร ได้พักบ้าง ตนก็ตอบว่าตกลงในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เราจะไม่เคลื่อนออกไปไหน ตำรวจ ทหาร ที่ดูแลความปลอดภัยอยู่จะได้กลับบ้านได้
"ปลัดกลาโหมยังถามว่าการต่อสู้ทำอย่างไรถึงจะไม่เกิดความรุนแรง ผมก็บอกว่าพวกเราไม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศอยู่แล้ว ปลัดฯยังถามอีกว่า มีคนพูดกันมากว่า กำนันสุเทพ จะเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ผมชี้แจงว่า สิ่งที่พูดยังไม่เกิดขึ้น คือ เมื่อ ปปช. ชี้ว่า น.ส. ยิ่งลักษณ์ ทำผิดคดีจำนำข้าวหรือศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ายิ่งลักษณ์ ทำผิดกรณีย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี และถ้ายิ่งลักษณ์ ยังดื้ออยู่ต่อ ก็เป็นหน้าที่ของมวลมหาประชาชนที่จะริบอำนาจคืน เพราะอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 3 ถึงวันนั้นประชาชนจะประกาศเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ไม่ได้แย่งชิงอำนาจแต่เราเอาอำนาจคืน และการปฏิรูปประเทศเป็นเรื่องของประชาชนและข้าราชการจับมือกัน นักการเมืองไม่เกี่ยว ไม่ว่าพรรคไหนทั้งนั้น ปฏิรูปเสร็จแล้ว นักการเมืองจึงค่อยเข้ามา " นายสุเทพ กล่าว
นายสุเทพ กล่าวอีกว่า แม้ว่าขณะนี้ข้าราชการจะแสดงออกชัดเจนขึ้นทุกวันว่า ต้องมีการปฏิรูปประเทศไทย ให้มีระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ แต่คนที่อยู่ในอำนาจยังมีปัญหาอยู่ ไม่ยอม แข็งข้ออยู่
" ผมยังบอกปลัดกลาโหมวันที่ผมนัดแล้วหากมวลชนไม่มา ท่านปลัดฯบอกมาเลยว่าจะให้ผมจะไปมอบตัวกับใครกับ พล.อ. ประยุทธ์ หรือใคร และเมื่อท่านปลัดฯจับมือกับผมแล้วในวันนี้ท่ามกลางสื่อมวลชน ท่านปลัดฯคงจะได้นำสิ่งที่ผมพูดคุยในวันนี้ ถ่ายทอดให้กำลังพลฟัง การออกมาคราวนี้ ต้องสู้ให้ชนะม้วนเดียวจบจะภายใน 15 วันหรือมากกว่านั้นก็ตาม การต่อสู้ต้องมีระยะเวลา เดือนนี้เป็นเดือนที่ 6 ของการต่อสู้พอแล้ว แพ้-ชนะ ต้องทำใจ ถ้าสู้คราวนี้แล้วชนะก็กลับบ้าน ชาติเจริญก็พอใจแล้ววันข้างหน้าเห็นพรรคการเมืองที่เดินมาตามวิถีทางประชาธิปไตยที่บริสุทธิ์ ก็เป็นความสุขใจของเรา แต่ถ้าสู้แล้วแพ้ ถึงวันนัดชุมนุมใหญ่ คนไม่ออกมา ข้าราชการไม่ออกมา ผมก็จะเดินเข้าคุกอย่างองอาจ แล้วสู้กันใหม่ในชาติหน้า แพ้ก็เอาไปขังคุก ไปฆ่าแกงอย่างไรก็ได้ คุกก็ไม่กลัว ตายไม่กลัว แล้วจะไปกลัวอะไรกับเสียงคนด่า วิจารณ์บิดเบือน " นายสุเทพ กล่าว
นายสุเทพ กล่าวในตอนท้ายว่า ขอให้ยึดสมรภูมินี้เป็นหลักในการต่อสู้ไปก่อน จนกว่าจะถึงวันใหญ่ ซึ่งตนมีแผนไว้แล้ว แต่จะบอกพี่น้องเมื่อถึงเวลา มั่นใจว่าเมื่อถึงที่สุดแล้ว พี่น้องประชาชน พี่น้องข้าราชการทั้งประเทศจะคิดได้ ตัดสินใจได้และจะออกมายืนเคียงข้างเราชนิดมืดฟ้ามัวดิน และตนกล้าเดิมพันด้วยชีวิตตัวเอง ส่วนวันที่ 10 เมษายนนี้ เราจะเคลื่อนมวลชนเหมือนเดิม ล้อหมุนเวลา 10.00 น
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน