สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ว่าด้วย โทษประหารชีวิต ในคดีข่มขืน ประเทศอื่นเป็นอย่างไร

ว่าด้วย โทษประหารชีวิต ในคดีข่มขืน ประเทศอื่นเป็นอย่างไร

จากประชาชาติธุรกิจ

ข่าวสะเทือนใจของน้องแก้ม ด.ญ.วัย 13 ปี หายตัวไป ขณะที่เดินทางมาจาก จ.สุราษฏร์ธานี มุ่งหน้า กรุงเทพมหานคร ซึ่งโดยสารมากับขบวนรถไฟ (ตู้นอนที่3)  เที่ยวที่ 174  เมื่อวันที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา นั้น ซึ่งต่อมานายวันชัย แสงขาว อายุ 22 ปี พนักงานปูเตียงที่ได้รับสารภาพว่าได้ข่มขืนน้องแก้ม และโยนร่างของน้องแก้มลงจากขบวนรถไฟ

เมื่อพลิกดูข้อกฎหมายในกรณีข่มขืนนั้น พบว่ากฎหมายไทยมีการระบุบทลงโทษคดีข่มขืนว่ามีอัตราโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต โดยเฉพาะคดีข่มขืนและฆ่า อย่างไรก็ตามการพิจารณาคดีขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล

สำหรับประเทศไทย มีคดีล่าสุดที่ตัดสินประหารชีวิตในคดีข่มขืน 2 คดี คือ คดีข่มขืนและฆ่าน้องอ้อม สุพรรษา นักเรียนโรงเรียนอนุบาล เมื่อปี 2539 ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกตามล่าจนสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ ในชั้นศาล ทั้งนี้ผู้ต้องหาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา จนกระทั่งพยานแวดล้อม หลักฐานคราบอสุจิและเลือดที่เปื้อนเสื้อ เป็นหลักฐานมัดตัวจนเปิดปากรับสารภาพในที่สุด

คดีของนายพันธุ์ สายทอง มีความน่าสนใจตรงที่ ศาลใช้เวลาในการสอบพยานเพียงวันเดียวและมีความเห็นสั่งฟ้องในวันที่ 16 ก.ค. 2539 และนัดตัดสินพิพากษาในวันรุ่งขึ้น โดยศาลได้ตัดสินประหารชีวิต แม้จะมีการทูลเกล้าถวายฎีกา แต่กระทรวงมหาดไทยเห็นว่านายพันธุ์เคยทำความผิดมาแล้วหลายครั้งและคดีดังกล่าวเป็นคดีอุกฉกรรจ์ โหดเหี้ยม จึงเสนอยกฎีกาและประหารชีวิตในวันที่ 21 มิ.ย. ปี 2542 ด้วยการยิงเป้า

ส่วนอีกคดีข่มขืนที่ผู้ต้องหาได้รับโทษประหารชีวิต คือคดีข่มขืนและฆ่า น้องนุ่น สุกัญญา วัย 4 ขวบ เมื่อปี 2542 ซึ่งจากการสอบสวนพบว่าพ่อเลี้ยงเป็นคนลงมือก่อเหตุ

เมื่อไปดูในต่างประเทศโดยอ้างอิงจากรายงานของของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ องค์การนิรโทษกรรมสากล ระบุถึงโทษประหารชีวิตโดยรวม (ทุกคดีอาชญากรรมไม่ได้นับเฉพาะคดีข่มขืน) ในปี 2555 มีการรื้อฟื้นการประหารชีวิตในแกมเบีย อินเดีย อินโดนีเซีย คูเวต ไนจีเรีย ปากีสถาน และล่าสุดในเวียดนาม

ขณะที่เมื่อปีที่แล้ว 2556  ศาลอาญาอินเดียได้ตัดสินประหารชีวิตแขวนคอ 4 ผู้ต้องหาคดีข่มขืนนักศึกษาหญิงในกรุงนิวเดลี โดยผู้พิพากษาระบุว่า เป็นคดีสะเทือนขวัญ ที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พร้อมปฏิเสธการยื่นขอลดโทษ โดยกล่าวว่านักศึกษาหญิงถูกทรมานอย่างรุนแรง

อย่างไรก็ตามคดีดังกล่าว ผู้ต้องหายังสามารถอุทธรณ์กันต่อไป

กระนั้นคดีดังกล่าวนำมาสู่การแก้ไขกฎหมาย ที่จะลงโทษผู้กระทำผิดที่แสดงพฤติกรรมสอดแนม ถ้ำมอง และการก่ออาชญากรรมทางเพศ รวมถึงโทษประหารชีวิตสำหรับผู้ที่กระทำผิดในคดีดังกล่าวซ้ำสอง หรือคดีการข่มขืนที่เหยื่อเสียชีวิต

แม้หลายประเทศจะยกเลิกการลงโทษตัดสินคดีประหารชีวิตไปไม่น้อย แต่ก็ยังมีบางประเทศที่ไม่ได้ยกเลิก เช่น สหรัฐอเมริกา ยังคงมีการตัดสินโทษประหารชีวิตสำหรับความผิดคดีข่มขืน อาทิ ศาลสูงรัฐฟลอริด้า เพิ่งลงมติตัดสินให้ประหารชีวิตนักโทษคดีข่มขืนไปเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2557 ที่ผ่านมา โดยผู้ต้องหา คือนายเอ็ดดี้ เวยน์ เดวิส ได้กระทำการข่มขืนและฆ่าเด็กหญิงวัย 11 ปี ตั้งแต่ปี 2537 และถูกจับกุมคุมขังในเรือนจำมาตั้งแต่นั้น กระทั่งเพิ่งมีการตัดสินลงโทษไม่นานมานี้

หรือกรณีเมื่อต้นปี 2557 สหรัฐอเมริกาก็ใช้วิธีการฉีดยาเพื่อประหารชีวิตนักโทษคดีข่มขืนเช่นกันที่รัฐโอไฮโอ


ขณะที่เกาหลีใต้ เลือกใช้วิธีลงโทษผู้ต้องหาคดีข่มขืนร้ายแรงด้วยวิธีการฉีดยาที่มีฤทธิ์ทำให้อัณฑะฝ่อต่อนักโทษคดีข่มขืน เป็นวิธีการที่ผ่านร่างกฎหมายเกาหลีใต้ตั้งแต่ปี 2553 แล้ว อาทิ การฉีดยาดังกล่าวกับนายปาร์ค นักโทษข่มขืนต่อเนื่อง วัย 45 ปี เป็นรายแรก หลังจากที่เขาถูกตัดสินว่าข่มขืนเหยื่อ 4 ราย และพยายามข่มขืนเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี

ขณะที่องค์กรนิรโทษกรรมสากล ออกรายงานระบุว่า งานวิจัยมากมายจากนานาประเทศได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโทษประหารชีวิตไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ กับการเพิ่มขึ้น หรือลดลงของอาชญากรรม โดยประเทศต่าง ๆ ที่ยังคงประหารชีวิตอยู่ก็เป็นเพียงแค่ประเทศส่วนน้อย เพราะ 140 ประเทศทั่วโลกได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตไปแล้ว ทั้งในทางกฎหมายหรือในทางปฏิบัติ เนื่องจากไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่าการรื้อฟื้นการประหารชีวิตจะสามารถควบคุมหรือลดการเกิดอาชญากรรมลงได้

โทษ "ประหารชีวิต" ควรจะมีหรือไม่ เป็นประเด็นโลกแตกที่ถกเถียงกันมานาน ขณะนี้ประเทศต่าง ๆ ในโลกใบนี้มีทั้งที่ยกเลิกการประหารชีวิตไปแล้ว และยังมีประเทศจำนวนไม่น้อยหรืออาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำที่ยังคงโทษประหารชีวิตเอาไว้อยู่ บางแห่งก็ยังทำการประหารชีวิตนักโทษ โดยการแขวนคอ หรือยิงเป้า หรือยิงข้างกำแพงในที่สาธารณะท่ามกลางการมุงดูของผู้คน เพื่อให้เป็นที่เกรงกลัวต่อการกระทำความผิด


เรียบเรียงโดยประชาชาติธุรกิจออนไลน์


ย้อนรอยคดีข่มขืนบนรถไฟกับความปลอดภัยที่หาได้ยาก

จาก โพสต์ทูเดย์

โดย...ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์

พนักงานปูที่นอนบนถรถไฟสายนครศรีธรรมราช-กรุงเทพมหานคร ที่พรากความสดใสของเด็กหญิงวัยเพียงแค่ 13 ปี ส่งมอบความตายอย่างทรมานให้กับเธอ ด้วยการลงมือฆ่าข่มขืนบนขบวนรถไฟ ใจทรามกระทำการด้วยความระยำก่อนจะส่งร่างของเธอในสภาพเปลือยเปล่าโยนทิ้งผ่านหน้าต่างรถไฟตู้นอนหลังกระทำกามวิตถารฆาตกรรม ขณะที่รถไฟวิ่งด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่า 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ห้วงรอยต่อระหว่างจ.ประจวบคีรีขันธ์ และจ.เพชรบุรี

เป็นข่าวที่สะเทือนต่อความรู้สึกของคนไทยที่ได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างหนักหนาที่สุด ด้วยว่าเหตุเกิดจากการลงมือของพนักงานการถไฟแห่งประเทศไทยเอง และรถไฟไทยก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นการเดินทางที่ปลอดภัย แต่จากนี้คงไม่ใช่อีกต่อไป

เหตุการณ์ผู้โดยสารถูกข่มขืนบนรถไฟของน้องวัย 13 ปีครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้น หากแต่เมื่อย้อนไปเมื่อปี 2544 นักศึกษาสาวปริญญาโทแห่งหนึ่ง โดยสารรถไฟตู้นอนตามเส้นทางจากสุไหงโกลก จ.นราธิวาส มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพมหานคร เธอถูกลูกจ้างของการรถไฟลงมือข่มขืนกระทำชำเราอย่างไร้การขัดขืน

ครั้งนั้นโจรร้ายในคราบพนักงาน ฉุดกระชากลากเธอจากเตียงนอนชั้นล่างขณะดึกดื่น เสียงที่ดังของรถไฟ ไม่ได้ส่งผลให้เกิดความเอะใจต่อผู้โดยสารใดๆทั้งสิ้น และกลายเป็นจังหวะเหมาะของคนร้ายที่ลากเธอ ซ้อมเธอจนเพลียแรง และลงมือข่มขืนเธอ

ครั้งนั้นเธอเอาชีวิตรอดออกมาได้ นักศึกษาสาวปริญญาโทผู้นี้เดินหน้าฟ้องร้องเอาผิดดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุ ศาลตัดสินสั่งจำคุกฐานความผิดกระทำชำเรา โทษจำคุก 9 ปี เมื่อปี 2551 แม้จำเลยในคดีจะกล่าวอ้างว่าเป็นความยินยอมตามสมัครใจ แต่ศาลไม่รับฟัง

แม้เธอจะได้รับชัยชนะจากการตัดสินคดี แต่แผลร้ายที่ติดตัวก็ทำให้เธอแทบจะไม่มีที่ยืนในสังคม ความอับอายที่ได้รับ แผลความรู้สึกที่ฝังอยู่ในหัวจิตหัวใจของเธอยังไร้การเยียวยา เธอต้องซุกหน้า หลบหน้าหนีออกจากสังคมที่เธอเคยอยู่เพราะเธออับอาย ชีวิตเธอต้องพังเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ น่าสนใจที่ว่า ขณะเกิดเหตุเธอดำรงตำแหน่งถึงระดับผู้จัดการ มีอนาคตก้าวหน้าอีกทั้งมีคนรักอยู่แล้ว

เมื่อเป็นเช่นนั้น นักศึกษาปริญญาโทผู้นี้เดินหน้าฟ้องร้องจากการรถไฟฯ เพื่อให้รับผิดชอบจากเหตุการณ์นี้เป็นเงิน 18 ล้านบาท เป็นเงินที่เธอคิดว่าเหมาะแก่ความสาสมที่เธอควรจะได้รับมัน แต่ต้องถูกปฏิเสธไม่รับผิดชอบเพราะการรถไฟฯ ถือว่า “เป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลยและผู้เสียหาย ไม่เกี่ยวข้องกับการรถไฟฯ”

เธอต้องกล้ำกลืนเพราะเหตุที่พนักงานของการรถไฟฯ กระทำต่อเธอ และถูกปฏิเสธความรับผิดชอบจากการถไฟฯ แต่เชื่อได้อย่างว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนั้นกับนักศึกษาปริญญาโท และเหตุล่าสุดที่เกิดกับเด็กหญิงวัย 13 ปีที่ถึงกับต้องเสียชีวิต ก็ต้องสร้างความด่างพร้อยให้กับการรถไฟของประเทศไทยไปมากแน่นอน

เพราะอย่าลืมว่ารถไฟ ถือเป็นพาหนะแห่งการเดินทางที่คนทุกชนชั้นสามารถเข้าถึงได้โดยง่าย และที่สำคัญชาวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวก็มักนิยมเดินทางด้วยรถไฟเช่นกัน ข่าวที่ออกมาย่อมสร้างความเสียหายไปถึงระดับนานาชาติทันที

มารอดูท่าทีกันว่า การรถไฟฯ จะทำอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้ ที่พนักงานของตัวเองสวมบทฆาตกรโหดใจทราม ข่มขืนเพราะความใคร่ที่ไม่สามารถควบคุมได้ต่อเด็กหญิงวัย 13 ปี และลงมือฆ่าเธอได้อย่างเลือดเย็น!!!

รถไฟไทยกับความปลอดภัยที่หาได้ยาก?

ด้วยเพราะรถไฟไทย บางจุดบางเส้นทางรวมถึงตัวบุคคล ก็เป็นองค์ประกอบทีทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงมีความอันตรายเกิดขึ้นได้

ทั้งนี้ รถไฟตู้นอน จะมี 3 แบบ คือ รถนอนชั้น 1 มีลักษณะเป็นห้องชุดๆ ราคาแพงที่สุด และรถนอนชั้น 2 ซึ่งเป็น โบกี้ หรือ ตู้ มีทั้งปรับอากาศและพัดลม มีทั้งเตียงบนและเตียงล่าง เมื่อยังไม่ถึงเวลานอน ผู้โดยสารแต่ละล็อกจะนั่งข้างล่าง ซึ่งมีเก้าอี้แยกกัน เมื่อถึงเวลานอนจะนำที่นั่ง 2 ที่มาประกบเป็นเตียง

ส่วนเตียงบนจะมีล็อกเกอร์เก็บเตียง ก่อนถึงเวลานอน พนักงานมาจัดการปูเตียงให้ คนที่มีตั๋วเตียงบนต้องปีนบรรไดเหล็กขึ้นไปนอน  เมื่อปูที่นอนเสร็จสิ้น ถึงเวลานอน บนรถไฟจะเปิดไฟฟ้าส่องสว่างตลอด 24 ชม. แต่ละตู้จะมีประตูเปิดปิดเชื่อมกับห้องน้ำ 2 ห้อง ซ้ายขวา ซึ่งช่วงรอยต่อระหว่างห้องน้ำกับตู้ผู้โดยสารตู้นอนนี้ จะมีซอกของพนักงานปูเตียงเป็นช่องแคบๆ อยู่ติดห้องน้ำ ใช้เป็นที่เก็บผ้าปูเตียงและหมอน ซึ่งพนักงานปูเตียงจะใช้เป็นที่พักผ่อน โดยก่อนจะนอน ผู้โดยสารจะเรียกพนักงานไปปูเตียงให้ แต่ละตู้จะมี 1 คน

และปิดประตูเชื่อมแต่ละตู้แต่ไม่ล็อก ทำให้ผู้โดยสารหรือคนแปลกหน้าเดินเข้าออกได้ตลอด เนื่องจากพอดึกๆ พนักงานตรวจการก็หายหมดเพราะต่างหลบไปพักผ่อนเช่นกัน จะมีมาตรวจสอบความเรียบร้อยเฉพาะตอนเช็กตั๋วสำหรับผู้โดยสารที่ขึ้นใหม่เท่านั้น

แม้ว่าบนรถไฟทุกขบวนจะต้องมีตำรวจรถไฟต้องประจำอยู่ด้วย แต่เมืองไทยก็ไม่มีเฉกเช่นต่างประเทศ  จากข้อมูลของประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการรถไฟฯ กล่าวถึงว่า ที่ผ่านมาเคยมีการเสนอให้มีตำรวจรถไฟประจำทุกขบวน อย่างน้อยขบวนละ 1 นาย แต่ก็ไม่ให้มีการบรรจุ ถูกมองว่าไม่จำเป็น ตรงนี้ก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีคิด เป็นเรื่องทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมเช่นกัน

คำกล่าวอ้างจากประภัสร์ จงสงวน ระบุว่า บนรถไฟจะมีพนักงานทำงานอยู่สามส่วนด้วยกัน คือ 1.เจ้าหน้าที่ควบคุมเครื่อง 2.เจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วทั่วไป และ 3.พนักงานจ้างจากบริษัทเอกชน ที่เข้ามารับผิดชอบในเรื่องความสะอาด ช่วยดูแลเรื่องที่กางเตียงนอนในขบวนที่มีตู้นอน ซึ่งปัญหาที่เกิดจากการประพฤติตัวไม่เหมาะสมมักจะพบในพนักงานกลุ่มสุดท้ายที่ไม่ได้สังกัดกับการรถไฟฯ

ภาพรวมทั้งหมด รวมถึงคำกล่าวอ้างของผู้ว่าการรถไฟฯ อย่างจนยอม สะท้อนได้อย่างชัดเจนว่า หากเกิดเหตุร้ายกับผู้โดยสาร ผู้โดยสารเองจะต้องเป็นคนที่เอาตัวรอดจากเหตุทีเกิดขึ้น

ด้วยเพราะกำลังช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ และบางครั้ง เจ้าหน้าที่เองที่เป็นผู้ก่อเหตุกับผู้โดยสารด้วย

นับเป็นความวิปโยคที่จะหาความปลอดภัยบนรถไฟของไทย ซึ่งแทบจะไม่มีเลย


เผยจม-เปิดผนึกจากเหยื่อถูกพนักงานรถไฟข่มขืน

จาก โพสต์ทูเดย์

เผยจดหมายเปิดผนึกจากเหยื่อถูกพนักงานรถไฟข่มขืนเมื่อปี2544 ระบุ 13 ปียังไม่ได้รับเงินเยียวยา

เมื่อวันที่ 8 ก.ค.เว็บไซต์ผู้จัดการรายงานว่า ผู้เสียหายจากเหตุการณ์ถูกพนักงานการรถไฟฯข่มขืนกระทำชำเรา เมื่อปี2544 ได้เขียนจดหมาย จาก กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ถึง หัวหน้า คสช. และ การรถไฟแห่งประเทศไทย โดยมีรายละเอียดดังนี้

เรียน ท่านสื่อมวลชน ผ่านไปยัง หัวหน้า คสช. / การรถไฟแห่งประเทศไทย

เรื่อง ความรับผิดชอบต่อผู้โดยสาร ในคดีข่มขืนบนรถไฟ

วันนี้ ดิฉันได้รับข่าวสารจากทางเมืองไทย แค่ได้อ่านหัวข้อข่าวว่า มีเหตุข่มขืนแล้วฆ่าบนรถไฟสายใต้ ดิฉันก็รู้สึกเจ็บและปวดที่หัวใจผู้อย่างรุนแรง “มันเกิดขึ้นอีกแล้วหรือ ?” “ทำไมฉัน ไม่เป็นคนสุดท้าย ? ทำไมต้องเป็นน้องเขา ? ทำไม ?”

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับตัวดิฉันเอง เมื่อ 13 ปีที่แล้ว หากท่านยังจำกันได้ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2544 เกิดคดีข่มขืนหญิงสาวปริญญาโทบนตู้นอน บนขบวนรถไฟสายใต้ คดีนี้เป็นข่าวครึกโครม การรถไฟฯได้ไล่ผู้กระทำผิดออกจากงาน และศาลอาญาได้ตัดสินจำคุกจำเลยเป็นเวลา 9 ปี ส่วนในคดีแพ่ง ศาลชั้นต้น และศาลอุธรณ์ ได้ตัดสินให้การรถไฟฯและจำเลย ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดให้แก่โจทก์ นับจากวันนั้นถึงวันนี้ 13 ปีผ่านไปแล้ว แต่คดีก็ยังไม่ถึงที่สุด ดิฉันก็ยังไม่ได้รับการเยียวยาชดใช้ค่าเสียหาย เพราะการรถไฟฯได้ยื่นฎีกาขอทุเลาคดี และทำให้การเยียวยาของดิฉันได้รับความล่าช้าออกไปเรื่อยๆ

หลายท่านคงไม่รู้ว่า หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น มีเหตุการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนชีวิต และสุขภาพดิฉันไปตลอดกาลอย่างสิ้นเชิง ท่านรู้หรือไม่? ดิฉันต้องถูกบีบบังคับให้ออกจากงานที่กำลังไปได้ดี เพราะในสายตาของผู้บริหาร ดิฉันได้นำความเสื่อมเสียมาสู่องค์กร เพราะในการเดินทางครั้งนั้น ดิฉันไปทำงานในนามของบริษัท ดิฉันต้องเข้าโรงพยาบาลทางจิตติดต่อกันมาหลายปี มีอาการประสาทหลอน ควบคุมสติไม่ได้ ต้องเข้าบำบัดรักษาอย่างต่อเนื่อง

ทุกคืนวัน ดิฉันมีอาการฝันร้าย ผวาและหวาดกลัวคนรอบข้าง ไม่ไว้วางใจผู้คน วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า นานนับหลายปี ต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีอาการสั่นของมือ และเมื่อมีเหตุการณ์อะไรที่กระทบกระเทือนจิตใจ แม้แต่เพียงเล็กน้อย ดิฉันจะมีภาวะตระหนก ควบคุมตนเองไม่ได้ และหลายต่อหลายครั้งถึงกับหน้ามืดเป็นลมหมดสติ ซึ่งอาการเหล่านี้แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานถึง 13 ปี ดิฉันก็ยังประสบความยากลำบากที่จะมีชีวิตเยี่ยงคนปกติ ด้วยความอ่อนแอทางสุขภาพจิตและการต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่องหลายปี ทำให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การต้องประสบกับความอับอายในสังคม ทำให้ดิฉันต้องระเห็จมาตั้งต้นชีวิตใหม่ในต่างประเทศอย่างยากลำบาก และรอคอยกระบวนการยุติธรรมที่ถูกทำให้ล่าช้า อย่างไม่เห็นแก่มนุษยธรรมของท่าน

หลังจากอ่านหัวข้อข่าว ดิฉันรู้สึกแย่มาก น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว รู้สึกว่าหัวใจถูกบีบอย่างแรง มันเหมือนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 13 ปีที่แล้ว เพิ่งเกิดขึ้น และมันได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ดิฉันไม่สามารถที่จะถ่ายทอดความรู้สึกนี้เป็นตัวอักษรได้ เพราะมันเจ็บปวดเกินกว่าที่จะพูดออกมาได้ ดิฉันทราบข่าวเวลา 3 ทุ่มของประเทศกรีซ หลังจากนั้น ดิฉันหมดสติ มาเริ่มรู้สึกตัวประมาณเที่ยงคืน แต่ดิฉันก็พยายามฝืนที่จะพิมพ์จดหมายฉบับนี้ เพราะต้องการสื่อสารถึงคนในสังคมไทย ว่าถึงเวลาหรือยัง ที่เราจะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้สังคมนี้มีความปลอดภัยมากขึ้น ไม่ต้องคอยระแวงว่า “ใคร คือรายต่อไป”

จากคดีของดิฉัน ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการทางการแพทย์ ทางกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม แต่นั่นก็ยังไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เพราะคดีข่มขืนก็ยังเกิดขึ้นอีกแทบทุกวัน

ดิฉันคาดหวังให้มีบทลงโทษที่รุนแรง ในคดีข่มขืน และมีการป้องกัน บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นจริงจัง เพราะมันอาจจะเป็นหนทางที่ทำให้เหตุนี้เกิดขึ้นน้อยลง จนไม่เกิดขึ้นเลย........จะเป็นไปได้มั้ยคะ ขอฝากไปถึงท่านผู้เกี่ยวข้องทุกท่านที่จะสามารถทำให้เกิดบทลงโทษที่รุนแรงมากกว่านี้ หรือว่าต้องรอให้เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวของท่านก่อน

ดิฉันขอแสดงความเสียใจกับบิดาและมารดาของน้องที่เสียชีวิต ดิฉันเข้าใจความรู้สึกของการสูญเสีย เพราะดิฉันก็ได้เสียมารดา เนื่องจากผลของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับดิฉันเช่นกัน ดิฉันอยากจะบอกว่าน้องเขาไปดีแล้ว น้องเขาโชคดีกว่าดิฉันเยอะ เพราะทุกวันนี้ดิฉันมีชีวิตอยู่เหมือนตายทั้งเป็น 10 กว่าปีที่ผ่านมา ดิฉันไม่เคยนอนหลับตอนกลางคืนเลย มันยากที่จะลืม

สุดท้ายนี้ ดิฉันขอฝากข้อความไปถึงท่านผู้มีอำนาจในบ้านเมือง, ผู้ว่าการการรถไฟฯคนปัจจุบัน ว่า “ท่านมั่นใจเหรอคะ ว่า 117 ปี ของการรถไฟฯ ไม่เคยมีคดีร้ายแรง มีแต่อนาจาร ดิฉันไม่ทราบว่า ท่านมาบริหารองค์กรนี้ได้อย่างไร ท่านไม่เคยทราบเลยหรือคะ ว่า องค์กรของท่านเคยเกิดเหตุคดีข่มขืนบนรถไฟสายใต้ ขณะที่รถไฟยังวิ่ง โดยผู้ก่อเหตุเป็นพนักงานขององค์กรของท่านเอง ท่านไม่เคยทราบเลยหรือคะ ท่านคิดว่า ท่านสมควรที่จะเป็นผู้บริหารองค์กรนี้ต่อไปหรือคะ

คดีของดิฉัน 13 ปีแล้วค่ะ ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรคะ ชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างตลอดกาลของดิฉัน การรถไฟฯเห็นว่า การเยียวยาชดใช้ช่วยเหลือความเสียหายมันตีเป็นตัวเงินเมื่อเทียบกับชีวิตของดิฉันได้หรือคะ ทำไมต้องใช้เวลาเตะถ่วงถึง 13 ปี จนบัดนี้ ดิฉันมีลูกชายวัยเด็กที่ดิฉันต้องรับผิดชอบเลี้ยงดู ด้วยสุขภาพทั้งกายทั้งจิตที่บอบช้ำอย่างหนัก แต่สำหรับท่าน เงินเพียงเล็กน้อยเท่านี้เท่าที่ศาลท่านสั่งให้ชดใช้ ท่านคิดว่ามากไปหรือคะ ช่วยกรุณาตอบดิฉันด้วย และเหตุการณ์ของน้องแก้ม ที่เพิ่งเกิดขึ้น ท่านจะพูดว่าอะไรคะ ท่านจะดำเนินการอย่างไร ไล่พนักงานคนนั้นออก แล้วก็จบ เหมือนคดีของดิฉันใช่มั้ยคะ

คำว่า “ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น” ที่ท่านผู้ว่าฯ คนก่อนโน้นเคยกล่าวกับดิฉัน ท่านก็กำลังจะกล่าวคำนี้เช่นกัน กับมารดาของน้องแก้มใช่มั้ยคะ .....ดิฉันอยากถามว่า ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวของท่าน ท่านจะกล่าวคำว่าอะไร ????????????


ชาวเน็ตนัดแต่งดำเรียกร้องเปลี่ยนโทษคดีข่มขืนเป็นประหารชีวิต

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

วันนี้ (8ก.ค.57)  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้เฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อเพจว่า  “พวกเราต้องการเปลี่ยนกฎหมาย คดีข่มขืนให้ประหารชีวิตเท่านั้น” มีสมาชิกขณะนี้ 6,000 กว่าคน เพื่อรณรงค์ให้คดีฆ่าข่มขืนต้องมีโทษประหารชีวิต โดยในเมื่อเวลา 09.00 น. เพจได้โพสต์นัดรวมตัวกัน ระบุข้อความว่า  “มารวมตัวกันเป็นพลังเสียง ร่วมเปลี่ยนกฎหมายคดีโทษข่มขืนกันเถอะค่ะ อย่าให้มีเหยื่อสังเวยความกามมากกว่านี้ ทุกกระบอกเสียงสำคัญ ร่วมกันแชร์รวมตัวกันค่ะ ตัวแอดมินเองไม่มีความรู้ด้านกฎหมายมากนัก แต่อยากให้มีอะไรมาเปลี่ยนให้มันดีขึ้น ไม่งั้นก็เกิดเหตุแบบนี้ไปเรื่อยๆ เราจะรวมตัวกันที่ ลานพาร์คพารากอน เวลา 11.00 น. อยากให้ทุกคนใส่ชุดสีดำ เพื่อไว้ทุกข์ให้แก่เหยื่อ แอดมินไม่ทราบหรอกนะคะว่าทำแบบนี้จะเปลี่ยนได้ไหมแต่คิดว่าดีกว่าเรานิ่ง ดูดายกัน ใครสนใจมาร่วมกัน”

นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้ ในเว็ปไซต์ Change.org พบว่ามีการรณรงค์หัวข้อ "เพิ่มโทษกฏหมายลงโทษผู้กระทำผิดในข้อหากระทำชำเราให้รุนแรงยิ่งขึ้น" เพื่อเสนอไปยังนายชัยเกษม นิติสิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนายสุชน ชาลีเครือ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จากแคมเปญรณรงค์โดยผู้ใช้ชื่อว่า จ่าพิชิต ขจัดพาลชน มีผู้ร่วมลงชื่อสนับสนุน 21,541 คน มีข้อความการรณรงค์ ว่า "เพิ่มโทษกฏหมายลงโทษผู้กระทำผิดในข้อหากระทำชำเราให้รุนแรงยิ่งขึ้นกว่าใน ปัจจุบัน อย่างน้อยให้มีโทษเท่ากับคดีฆาตกรรมหรือจำคุกตลอดชีวิต


ย้อนรอย ‘พันธุ์-เดชา’ นักโทษข่มขืน2รายสุดท้ายที่ถูกประหารชีวิต

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ข่าวสุดสะเทือนใจของน้องแก้ม ด.ญ.วัย 13 ปี หายตัวไป ขณะที่เดินทางมาจาก จ.สุราษฏร์ธานี มุ่งหน้า กรุงเทพมหานคร ซึ่งโดยสารมากับขบวนรถไฟ (ตู้นอนที่3)  เที่ยวที่ 174  เมื่อวันที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา นั้น ซึ่งต่อมานายวันชัย แสงขาว อายุ 22 ปี พนักงานปูเตียงที่ได้รับสารภาพว่าได้ข่มขืนน้องแก้ม และโยนร่างของน้องแก้มลงจากขบวนรถไฟ

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ชาวสังคมออนไลน์ตั้งประเด็นเกี่ยวกับการเพิ่มโทษคดีฆ่าข่มขืน โดยหลายฝ่ายอยากให้โทษของคดีนี้ รุนแรงถึงขั้นประหารชีวิต ซึ่งหากย้อนไปดูแฟ้มคดีเกี่ยวกับการข่มขืนในประเทศไทย รายที่โดนประหารชีวิตแบบยิงเป้า คงจะหนีไม่พ้นคดีของ นายพันธุ์ สายทองและนายเดชา สุวรรณสุก เรื่องราวคดีสุดสะเทือนขวัญ 2 คดีติดต่อกันเมื่อปี 2539
นักโทษคดีข่มขืนประหารชีวิต

คดีข่มขื่นและฆ่าน้องอ้อมสุพรรษา ผู้ต้องหา นายพันธุ์ สายทอง

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2539 น้องอ้อม หรือ เด็กหญิงสุพรรษา นักเรียนโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งถูกพบเป็นศพและพบร่องรอยการข่มขืน สร้างความสะเทือนใจให้กับคนในยุคนั้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากสภาพของเหยื่อเต็มไปด้วยร่องรอยทารุณกรรม จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พบว่า

ชายผู้ต้องสงสัยในการก่อเหตุครั้งนี้คือ นายพันธุ์ สายทอง หรือแหล่ ป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้บริเวณที่เกิดเหตุซึ่งมีนักเรียนป.4 เป็นพยานปากสำคัญ โดยจากการตรวจสอบยังพบอีกว่านายพันธุ์เพิ่งพ้นโทษออกมาจากคุกได้ไม่กี่วัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกตามล่าจนสามารถจับกุมนายพันธุ์ได้ ในชั้นศาลนายพันธุ์ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา จนกระทั่งพยานแวดล้อม หลักฐานคราบอสุจิและเลือดที่เปื้อนเสื้อ เป็นหลักฐานมัดตัวนายพันธุ์จนเปิดปากรับสารภาพในที่สุด

คดีของนายพันธุ์ สายทอง มีความน่าสนใจตรงที่ ศาลใช้เวลาในการสอบพยานเพียงวันเดียวและมีความเห็นสั่งฟ้องในวันที่ 16 ก.ค. 2539 และนัดตัดสินพิพากษาในวันรุ่งขึ้น โดยศาลได้ตัดสินประหารชีวิต แม้จะมีการทูลเกล้าถวายฎีกา แต่กระทรวงมหาดไทยเห็นว่านายพันธุ์เคยทำความผิดมาแล้วหลายครั้งและคดีดังกล่าวเป็นคดีอุกฉกรรจ์ โหดเหี้ยม จึงเสนอยกฎีกาและประหารชีวิตในวันที่ 21 มิ.ย. ปี 2542 ด้วยการยิงเป้า โดยหลังจากนั้นคดีของพันธุ์ สายทองยังเป็นที่พูดถึงกระแสข่าวที่ว่าเขาเป็นแพะรับบาปในคดีนี้ แต่ก็ยังไม่หลักฐานที่ยืนยันชัดเจน


คดีข่มขืนและฆ่าน้องนุ่น สุกัญญา ผู้ต้องหา นายเดชา สุวรรณสุก

หลังจากคดีของนายพันธุ์ ถูกศาลพิพากษาประหารชีวิตได้เพียงวันเดียว คนในสังคมต้องตะลึงกับคดีสุดสะเทือนขวัญอีกครั้ง หลังจากที่มีผู้พบศพน้องนุ่น สุกัญญา วัย 4ขวบ ถูกข่มขืนและเสียชีวิตด้วยอาการสมองบวม ซึ่งจากการสอบสวนพบว่านายเดชา สุวรรณสุก พ่อเลี้ยงเป็นคนลงมือก่อเหตุ โดยเจ้าหน้าที่ได้นำนายเดชาไปตรวจร่างกายพบร่องรอยขีดข่วนที่หน้าออกมีการตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอและคราบอสุจิพบว่าเป็นของนายเดชา แต่เขายังปฏิเสธและโยนความผิดทั้งหมดไปที่ลูกชาย

ก่อนที่ผลตรวจของแพทย์จะยืนยันว่าลูกชายของนายเดชาเป็นผู้บริสุทธ์ หลังจากเค้นอย่างหนัก นายเดชาสารภาพความจริงทั้งหมดโดยอ้างว่าเมาสุราและแค้นภรรยาที่หนีไปอยู่กับชายอื่น สุดท้ายนายเดชา ถูกพิพากษาประหารชีวิตในวันที่ 7 ก.ค. 2542 ถัดจากการประหารนายพันธุ์ไม่กี่สัปดาห์ ซึ่งก่อนนายเดชาจะถูกประหารเขายังยืนยันว่า เขาไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิดและไม่เชื่อว่าความยุติธรรมบนโลกใบนี้มีอยู่จริง


เรียบเรียงโดย Mthai


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : ว่าด้วยโทษประหารชีวิต คดีข่มขืน ประเทศอื่น เป็นอย่างไร

view