สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ถอดรื้อมายาคติที่ไม่ยั่งยืน : บทเรียนจาก เสื้อใหม่ของนายธนาคาร (1)

ถอดรื้อมายาคติที่ไม่ยั่งยืน : บทเรียนจาก "เสื้อใหม่ของนายธนาคาร" (1)

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์




ละสายตาจากเรื่องยุ่งๆ ของการเงินที่ยังไม่ยั่งยืนในไทยชั่วคราว หันมาดูสถานการณ์ของภาคการเงินนอกบ้านเรากันบ้าง

วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์กับวิกฤติยูโรโซนที่ทำให้ทั้งโลกปั่นป่วนเมื่อหลายปีก่อนเริ่มทุเลาความร้อนแรง หายไปจากพาดหัวในหน้าสื่อ แต่หลังฉากการถกเถียงเรื่องการปรับปรุงระบบกำกับดูแลภาคธนาคารก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น ถึงแม้คนที่อยู่นอกภาคการเงินอาจมองไม่เห็น

ในบรรดาข้อเสนอที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนคิดว่า “จำเป็น” ต้องทำที่สุดเพื่อปรับปรุงระบบธนาคารและลดความเสี่ยงที่มันจะฉุดลากเศรษฐกิจโลกไปอยู่ปากเหวอีก คือการเพิ่มระดับทุนขั้นต่ำที่ธนาคารต้องมี เป็น “เบาะกันกระแทก” ลดความเสี่ยงที่จะล้มจากการมีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน หรือที่เรียกเป็นภาษาทางการว่า capital requirement

ข้อเสนอนี้มีเหตุมีผลอย่างยิ่ง แต่ยากมากที่จะเกิดเป็นรูปธรรม เพราะนอกจากจะต้องฝ่าด่านการล็อบบี้อย่างไม่ขาดสายของธนาคารยักษ์ใหญ่ระดับโลกแล้ว ผู้เสนอยังต้องถอดรื้อกำแพงแห่งมายาคติที่นายธนาคารหลายคนสร้างขึ้นมาให้คนหลงเชื่อ และอีกหลายคนก็สับสนคิดไปเองว่ามายาคติคือความจริงเพราะท่องตามๆ กันมาช้านาน

มายาคติที่กีดกันการปรับปรุงระบบกำกับดูแลธนาคารคืออะไร? หนังสือที่ตอบคำถามนี้ได้อย่างชัดเจนที่สุด และเขียนอธิบายให้คนนอกวงการธนาคารเข้าใจง่ายที่สุด คือ The Bankers’ New Clothes (“เสื้อใหม่ของนายธนาคาร” ตั้งชื่อเลียนนิทานดังเรื่อง “เสื้อใหม่ของพระราชา” เพราะสื่อนัยเดียวกัน) เขียนโดยนักเศรษฐศาสตร์การเงินชื่อดังสองคน คือ ดร. อนัท แอดมาที (Anat Admati) จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในสหรัฐอเมริกา ร่วมกับ ดร. มาร์ติน เฮลวิก (Martin Hellwig) จากมหาวิทยาลัยบอนน์ในเยอรมนี

นอกจากจะเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีความสามารถล้นเหลือในการ “ย่อย” เรื่องยากๆ ให้คนทั่วไปเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ผู้เขียนทั้งสองยังมีบทบาทโดยตรงในวิวาทะและเวทีถกเถียงเชิงนโยบายเกี่ยวกับการกำกับดูแลภาคการเงินการธนาคาร โดยแอดมาทีเป็นสมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษาการคลี่คลายเชิงระบบ สถาบันประกันเงินฝากอเมริกัน (FDIC Systemic Resolution Advisory Committee) ส่วนเฮลวิกนั้นเป็นประธานคนแรกของคณะกรรมการที่ปรึกษาวิทยาศาสตร์ คณะกรรมการความเสี่ยงเชิงระบบยุโรป (European Systemic Risks Board) หน่วยงานภายใต้สหภาพยุโรป ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นมาหลังวิกฤติยูโรโซน

แอดมาทีกับเฮลวิกตั้งใจเขียน “เสื้อใหม่ของนายธนาคาร” ในภาษาง่ายๆ ให้คนธรรมดาเข้าใจ เพราะอยากให้ทุกคนในสังคมได้มีส่วนร่วมในเวทีอภิปราย และอยากถอดรื้อมายาคติอีกประการที่ว่า ประเด็นทางการเงินการธนาคารเป็นเรื่อง “สลับซับซ้อน” ที่ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้เชี่ยวชาญและดอกเตอร์ทั้งหลายเท่านั้น

หนังสือเล่มนี้ได้รับการกล่าวขวัญและสรรเสริญอย่างมากมายตั้งแต่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2013 แต่โชคร้ายที่มายาคติต่างๆ ที่ผู้เขียนเพียรชี้ให้เห็นในหนังสือ ก็ยังคงครอบงำวิวาทะเรื่องการกำกับดูแลธนาคารต่อไป ส่งผลให้แอดมาทีกับเฮลวิกตัดสินใจ “อัปเดต” เนื้อหาในหนังสือ ด้วยการเขียนบทความขนาดยาวเรื่อง “The Parade of the Bankers’ New Clothes Continues: 23 Flawed Claims Debunked” (พาเหรดของเสื้อใหม่นายธนาคารยังดำเนินต่อไป: บทหักล้างข้ออ้าง 23 ข้อที่ไม่ถูกต้อง) ให้ดาวน์โหลดฟรีจากเว็บไซต์ของหนังสือ http://bankersnewclothes.com/wp-content/uploads/2013/06/parade-continues-June-3.pdf

มายาคติหลักๆ และข้อหักล้างมีอะไรบ้าง? ผู้เขียนจะคัดสรร แปลและเรียบเรียงมาเล่าสู่กันฟังดังนี้

มายาคติ 1: ทุน (capital) คือเงินที่ธนาคารกันเอาไว้เป็น “เงินสดสำรอง” เหมือนกับเงินสดที่เราๆ ท่านๆ กันไว้ใช้ยามฉุกเฉิน

ผิดเพราะอะไร? ทุนในภาคธนาคารนั้นเป็นแหล่งทุนประเภทหนึ่ง สามารถนำไปใช้ปล่อยกู้และลงทุนได้ ไม่ต้องเก็บไว้เฉยๆ เพียงแต่ภาคธนาคารเรียกทุนนี้ว่า capital ขณะที่ธุรกิจอื่นเรียกว่า “ส่วนของผู้ถือหุ้น” หรือ equity แอดมาทีกับเฮลลิกชี้ว่า ธนาคารปกติใช้ทุนของตัวเองไม่ถึงร้อยละ 10 ในการลงทุนต่างๆ ขณะที่ธุรกิจอื่นมักจะต้องใช้ทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ในการลงทุน นอกจากนี้ บริษัทที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากยังแทบไม่มีหนี้สินใดๆ เลย

มายาคติ 2: ข้อเสนอให้ธนาคารกันเงินสดสำรองเท่ากับร้อยละ 15 ของสินทรัพย์ทั้งหมดของธนาคารนั้น ไม่ทำให้ธนาคาร “ปลอดภัย” กว่าเดิม เช่นเดียวกัน ข้อเสนอให้เพิ่มระดับทุนขั้นต่ำของธนาคารเป็นร้อยละ 15 ก็จะไม่ช่วยแก้ปัญหาใหญ่ๆ ในภาคการธนาคารเหมือนกัน

ผิดเพราะอะไร? มายาคติข้อนี้ตั้งอยู่บนความสับสนระหว่างทุนของธนาคาร (capital) กับเงินสดสำรอง (cash reserve) ดังที่กล่าวไปข้างต้นในมายาคติ 1

ทุนของธนาคารไม่ใช่เงินสดสำรอง แต่เป็นแหล่งทุนของธนาคาร ข้อกำหนดเรื่องทุนสำรองนั้นไม่ได้บังคับว่าธนาคารจะต้องถือสินทรัพย์อะไรบ้าง ไม่ได้บังคับว่าธนาคารต้องเพิ่มเงินสดสำรองในมือ (คือเอาไปปล่อยกู้แสวงกำไรไม่ได้) ในเมื่อข้อกำหนดปัจจุบัน และแม้แต่ภายในข้อเสนอในระบบ Basel III ปล่อยให้ธนาคารมีทุนขั้นต่ำเพียงร้อยละ 3 ของสินทรัพย์ทั้งหมด การเพิ่มข้อกำหนดนี้เป็นร้อยละ 15 (ดังเช่นร่างกฎหมาย Brown-Vitter ในอเมริกาเรียกร้องให้บังคับกับธนาคารที่ใหญ่ที่สุดหกแห่งในประเทศ) ก็จะทำให้ธนาคารปลอดภัยกว่าเดิมมาก ตัวเลข 15% นี้ยังต่ำกว่าสัดส่วนทุนต่อสินทรัพย์ที่ถือกันว่า “ปกติ” สำหรับบริษัทในธุรกิจอื่นที่แข็งแกร่งทางการเงินด้วยซ้ำไป เมื่อมีส่วนทุนมากขึ้น ธนาคารก็จะสามารถซึมซับผลขาดทุนได้มากกว่าเดิมมาก ลดความเสี่ยงที่จะประสบปัญหาทางการเงินถึงขั้นจะล้มละลาย ร้อนให้รัฐต้องมาอุ้ม

ในทางกลับกัน ข้อกำหนดเรื่องเงินสดสำรองในมือ (reserve requirement) มีประโยชน์ในแง่ความปลอดภัยน้อยกว่าข้อกำหนดเรื่องทุนขั้นต่ำ (capital requirement) มาก ยกเว้นว่ามันจะสูงมากๆ ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่าธนาคารหนึ่งมีเงินฝาก (เป็นหนี้สินของธนาคาร เพราะเป็นเงินของผู้ฝากเงิน) 97,000 ล้านบาท มีส่วนทุน 3,000 ล้านบาท (เท่ากับว่ามีหนี้สิน 94,000 ล้านบาท) การมีเงินสดสำรองในมือ (นับเป็นสินทรัพย์) อยู่ 15,000 ล้านบาทก็จะไม่ช่วยให้ธนาคารรอดเลย ถ้าขาดทุน 4,000 ล้านบาทจากหนี้เสียและผลขาดทุนจากการลงทุนอื่นๆ เพราะผลลัพธ์จะกลายเป็นว่ามีสินทรัพย์ 96,000 ล้านบาท ล้มละลายเพราะส่วนทุนติดลบ (3,000-4,000 = -1,000 ล้านบาท) เช่นเดียวกับที่เจ้าของบ้าน “จมน้ำ” (under water) ถ้าหากภาระการผ่อนบ้านมีมูลค่าสูงกว่ามูลค่าของบ้าน (คนอเมริกันจำนวนมากจึงยอมให้ธนาคารยึดบ้านในช่วงวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์)

แต่ถ้าหากธนาคารมีเงินฝาก 85,000 ล้านบาท มีส่วนทุน 15,000 ล้านบาท มันก็จะสามารถซึมซับผลขาดทุน 4,000 ล้านบาทได้อย่างสบายๆ โดยไม่เสี่ยงที่จะล้มละลายแต่อย่างใด

มายาคติ 3: ข้อเสนอให้ธนาคารเพิ่มสัดส่วนทุนขั้นต่ำนั้นเพียงแต่ตั้งอยู่บนทฤษฎี โมดิกลิอานี-มิลเลอร์ (Modigliani-Miller theorem) ซึ่งใช้กับโลกจริงไม่ได้เพราะสมมุติฐานของทฤษฎีนี้ไม่สมจริง

ผิดเพราะอะไร? ทฤษฎี โมดิกลิอานี-มิลเลอร์ บอกว่าภายใต้เงื่อนไขพิเศษบางประการ ส่วนผสมระหว่างหนี้สินกับส่วนทุนของบริษัทใดก็ตาม (เช่น ไม่ว่าจะเลือกใช้หนี้ 80 ทุน 20 หรือหนี้ 10 ทุน 90 ฯลฯ) จะไม่ส่งผลต่อมูลค่าของบริษัทและต้นทุนในการระดมทุน แต่แอดมาทีกับเฮลลิกชี้ชัด (ผ่านการยกตัวอย่างมากมายในหนังสือ) ว่า ข้อค้นพบที่สำคัญที่สุดของทฤษฎีนี้คือ ในตลาดการเงินที่ทำงานได้ดี อัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนต้องการขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยง และระดับความเสี่ยง (ตลอดจนอัตราผลตอบแทนที่สะท้อนความเสี่ยงระดับนั้น) ของหลักทรัพย์อะไรก็ตาม (เช่น หุ้น) ที่ออกโดยบริษัท ก็ขึ้นอยู่กับส่วนผสมระหว่างหนี้สินกับทุน พูดอีกอย่างคือ ยิ่งบริษัทมีหนี้มากเมื่อเทียบกับส่วนทุน ความเสี่ยงของบริษัทก็ยิ่งสูง นักลงทุนก็จะยิ่งเรียกร้องอัตราผลตอบแทนสูงๆ ในการลงทุน

ด้วยเหตุนี้ ข้อถกเถียงอะไรก็ตามที่พูดถึงอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on Equity ย่อว่า ROE) ที่นักลงทุนต้องการ ราวกับว่ามันสถิตเสถียรไม่เปลี่ยนแปลง และเป็นอิสระจากส่วนผสมระหว่างหนี้กับทุนของบริษัท จึงเป็นข้อถกเถียงที่บกพร่องระดับฐานคิดเลยทีเดียว

ใน “เสื้อใหม่ของนายธนาคาร” แอดมาทีกับเฮลวิกอธิบายเงื่อนไขในโลกจริงอีกหลายข้อที่หักล้างสมมุติฐานที่ว่าส่วนผสมหนี้กับทุนไม่สำคัญ เช่น กฎหมายภาษีอาจทำให้บริษัทอยากใช้หนี้มากกว่าทุนก็ได้

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนทั้งสองก็ย้ำว่า มายาคติข้อนี้หักล้างข้อเสนอว่าธนาคารควรมีทุนขั้นต่ำมากกว่าเดิมไม่ได้ เพราะข้อเสนอนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ว่าส่วนผสมระหว่างหนี้กับทุนไม่สำคัญ แต่ตั้งอยู่บนการเปรียบเทียบต้นทุนกับประโยชน์ที่สังคมจะได้รับ จากการมีส่วนผสมระหว่างหนี้กับทุนระดับต่างๆ ของธนาคาร แอดมาทีกับเฮลวิกสรุปว่า การให้ธนาคารใช้หนี้สินมหาศาลเมื่อเทียบกับส่วนทุนในการดำเนินธุรกิจนั้น เป็นต้นทุนมหาศาลที่สังคมต้องแบกรับโดยไม่ได้ประโยชน์ใดๆ เลย


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : ถอดรื้อ มายาคติที่ไม่ยั่งยืน บทเรียน เสื้อใหม่ นายธนาคาร

view