จากประชาชาติธุรกิจ
คอลัมน์ เอชอาร์คอร์เนอร์
โดย ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ http://tamrongsakk.blogspot.com
เรื่อง นี้ยังคงมีคอนเซ็ปต์ (Concept) คล้าย ๆ กับเรื่องที่ผมเขียนไปก่อนหน้านี้ คือเรื่องบริษัทจะหักค่าลาพักร้อนเกินสิทธิได้หรือไม่ นั่นคือแนวคิดทำนองที่ว่าบริษัทอื่นเขาก็ทำกันมายังงี้แหละ ทำกันมาตั้งนานแล้ว คงไม่ผิดหรอก เพราะใคร ๆ เขาก็ทำกัน ก็เลยทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง (แต่คิดเอาเองว่าถูก) กันต่อมา เมื่อเกิดปัญหาร้องเรียนหรือฟ้องร้องค่อยมาถึงบางอ้อว่าสิ่งที่ทำมาโดยตลอด นั้นไม่ถูกต้อง
เรื่องนี้มีอยู่ว่าบริษัทแห่งหนึ่งทำธุรกิจประกอบ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์และ อิเล็กทรอนิกส์มีวันทำงานจันทร์ถึงเสาร์ หยุดวันอาทิตย์ เวลาทำงาน 8.00-17.00 น.ได้ไปตกลงร่วมกับทางสหภาพแรงงานโดยประกาศวันหยุดประเพณีประจำปีคือนำวัน เสาร์ที่ 12 เมษายนซึ่งปกติจะต้องเป็นวันทำงาน ไปแลกกับวันจันทร์ที่ 7 เมษายนซึ่งเป็นวันหยุดชดเชยวันจักรี (วันที่ 6 เมษายนเป็นวันจักรีตรงกับวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ของบริษัท)
ดัง นั้น จากประกาศของบริษัทจึงให้พนักงานหยุดงานวันเสาร์ที่12 เมษายน โดยให้มาทำงานในวันจันทร์ที่ 7 เมษายนแทน ซึ่งดูแล้วเหมือนกับจะไม่น่ามีปัญหาอะไร เพราะเป็นการแลกวันหยุดกัน ซึ่งบริษัทอื่นก็ทำกันอย่างนี้อยู่บ่อย ๆ ไป เรียกว่า "ใคร ๆ เขาก็ทำกัน" จริงไหมครับ แต่...ช้าก่อน...
บริษัทแห่งนี้มาเกิดปัญหาตรงที่บริษัท ไปเลิกจ้างพนักงานคนหนึ่ง เพราะพนักงานคนนี้มาทำงานในวันที่ 7 เมษายนแค่ครึ่งวันเช้า (8.00-12.00 น.) และขาดงานไปในครึ่งวันบ่าย
ลูกจ้างเลยนำเรื่องไปฟ้องศาลแรงงาน...
ศาล ฎีกาวินิจฉัยว่า "....งานที่ลูกจ้างทำ ไม่ต้องด้วย พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 29 วรรคท้าย และกฎกระทรวง ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 19 สิงหาคม 2541 ที่จะตกลงเปลี่ยนวันหยุดตามประเพณีได้ นายจ้างจึงไม่อาจประกาศให้ลูกจ้างไปทำงานในวันจันทร์ที่ 7 เมษายน 2546 เพื่อชดเชยในวันเสาร์ที่ 12 เมษายน 2546 มีผลเท่ากับว่าวันจันทร์ที่ 7 เมษายน 2546 ยังเป็นวันหยุดชดเชยวันจักรี การที่ลูกจ้างมาทำงานในวันที่ 7 เมษายน 2546 ตั้งแต่เวลา 08.00-12.00 นาฬิกา นับว่าเป็นคุณแก่นายจ้างแล้ว ดังนั้น การที่ลูกจ้างไม่อยู่ทำงานระหว่าง 13.00-17.00 นาฬิกา จึงไม่เป็นการละทิ้งหน้าที่หรือจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย" (ฎ.4321-4323/2548)
เพื่อให้ท่านเข้าใจมากขึ้น ผมขอนำมาตรา 29 วรรคท้ายมาให้ดูเพื่อให้เข้าใจมากขึ้นดังนี้ครับ
มาตรา 29 "....ในกรณีที่นายจ้างไม่อาจให้ลูกจ้างหยุดตามประเพณีได้ เนื่องจากลูกจ้างทำงานที่มีลักษณะหรือสภาพของงานตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ให้นายจ้างตกลงกับลูกจ้างว่า จะหยุดในวันอื่นชดเชยวันหยุดตามประเพณี หรือนายจ้างจะจ่ายค่าทำงานในวันหยุดให้ก็ได้"
ตรงนี้หมายความว่า หากนายจ้างไม่สามารถให้ลูกจ้างหยุดตามประเพณีได้ นายจ้างก็สามารถสลับวันหยุดแบบกรณีที่เราคุยกันตามตัวอย่างข้างต้นก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าลักษณะงานนั้นต้องเป็นไปตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 4 ด้วย โดยกฎกระทรวงฉบับที่ 4 บอกไว้ว่า ลักษณะของงานที่จะสามารถสลับวันหยุดกันได้นั้นจะต้องมีลักษณะงานดังนี้ครับ
1.งานในกิจการโรงแรม สถานมหรสพ ร้านขายอาหาร ร้านขายเครื่องดื่ม สโมสร สมาคม สถานพยาบาล และสถานบริการท่องเที่ยว
2.งานในป่า งานในที่ทุรกันดาร งานขนส่ง และงานที่มีลักษณะหรือสภาพของงานต้องทำติดต่อกันไป ถ้าหยุดจะเสียหายแก่งาน
แต่บริษัทนี้เป็นบริษัทที่เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ จึงไม่ได้มีลักษณะงานเข้าข่ายสองข้อข้างต้นตามกฎกระทรวง
บริษัทจึงสลับวันหยุดไม่ได้ เพราะขัดกับกฎหมายแรงงานครับ !!
ดัง นั้น ประกาศในการสลับวันหยุดดังกล่าวของบริษัทจึงเป็นโมฆะนั่นเอง เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เท่ากับว่าพนักงานคนนี้ไม่ได้ขาดงานครึ่งวันบ่ายของวัน ที่ 7 เมษายน เพราะในทางกฎหมายก็ยังถือว่าวันที่ 7 เมษายนเป็นวันหยุดชดเชยวันจักรีอยู่ และการที่พนักงานมาทำงานวันที่ 7 เมษายน (ที่เป็นวันหยุดชดเชย) ตั้งครึ่งวันเช้าก็ถือว่าเป็นคุณกับบริษัทด้วยซ้ำไป
จากกรณีนี้ ผมเชื่อว่าคงจะทำให้ท่านได้ข้อคิด เพื่อนำไปใช้ในเรื่องการประกาศสลับวันหยุดในครั้งต่อไป พูดง่าย ๆ ว่าถ้าธุรกิจของท่านไม่ได้มีลักษณะงานเข้าข่ายตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 4 สองข้อข้างต้นล่ะก็ ท่านจะสลับวันหยุด (หรือมักจะเรียกกันว่าแลกวันหยุด) ไม่ได้ครับ
และเป็นอุทาหรณ์ด้วยว่า อะไรที่ทำตาม ๆ กันมา โดยบอกต่อ ๆ กันมา แบบที่ว่า "ก็ใคร ๆ เขาก็ทำกันเลย" นั้น บางครั้งก็ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป ถ้าไม่ศึกษาหาข้อมูลให้ดีแล้วทำไปแบบผิด ๆ ผลลัพธ์ก็จะเป็นอย่างเรื่องที่เราคุยกันมานี่แหละครับ
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน